เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทย ได้รับคำชื่นชมจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ในการต่อสู้กับโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้มาจากนวัตกรรมที่มีชีวิตที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ อสม.หรือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านนั่นเอง ด้วยจำนวน อสม. กว่า 1,040,000 ชีวิต ที่แทรกซึมอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหน ยากลำบากเพียงใด จะมีมดงานเหล่านี้เข้าถึงทุกพื้นที่ เป็นด่านหน้าในการหาข่าวผู้มีความเสี่ยง เฝ้าระวัง ติดตาม รวมถึงให้ความรู้ด้านการป้องกัน ทำให้เกิดการควบคุมโรค สอดประสานกันอย่างเป็นระบบในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ดังนั้น อสม. จึงเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขไทย นักสู้ด้วยหัวใจ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเป็นกลุ่มคนแรกที่เข้าไปช่วยเหลือ แม้เครื่องมือ อุปกรณ์ไม่ได้มีเท่าที่ต้องการ เราก็ทำด้วยของที่มี ทำด้วยความจริงใจ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องตรงนี้ พี่น้องปลื้มใจ เราก็ปลื้มใจ อยากทำแบบนี้ไปจนกว่าชีวิตของเราจะออกจากร่าง” อับดุลเลาะห์ มะเด – อสม. ต.ตลิ่งชัน อ.จะนะ จ.สงขลา จากการลงพื้นที่จริงของอับดุลเลาะห์ มะเด อสม. ต.ตลิ่งชัน อ.จะนะ จ.สงขลา ทำให้พบเจออุปสรรคต่างๆ ทั้งการเดินทางที่ยากลำบาก
หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 โดยอนุญาตให้เปิดกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง ฯลฯ ทำให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแบบวิถีไหม โดยการสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน พกแอกอฮอล์เจล และเว้นระยะห่างในสังคม (Social Distancing) เมื่อรูปแบบวิถีชีวิตของคนในสังคมเปลี่ยนไปทำให้รูปแบบของ ธุรกิจ ร้านค้า และบริการด้านต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย เช่น การคิดค้นรวมถึงพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ประชาชน หลายธุรกิจได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อช่วยรองรับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ของเราให้มีความปลอดภัยมากขึ้น มีตัวอย่างอะไรบ้างมาดูกัน หุ่นยนต์อัจฉริยะ หลังจากที่ห้างสรรพสินค้าได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ห้างฯ หลายแห่งมีการออกมาตรการของตัวเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่มาใช้บริการ และเป็นไปตามมาตรการของภาครัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดระลอก 2 บางแห่งได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องการตรวจวัดอุณหภูมิ พ่นฉีด สเปรย์แอกอฮอล์ ทำความสะอาด ทำให้เพิ่มความปลอดภัย และลดความเสี่ยง ให้ประชาชนได้มาใช้บริการได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เช่น หุ่นยนต์อัจฉริยะที่ช่วยคัดกรองความปลอดภัยของทุกคนก่อนเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้า ด้วยนวัตกรรมตรวจจับความร้อนและแจ้งเตือนที่ได้รับการยอมรับจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก มีประสิทธิภาพความแม่นยำ สามารถแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อมีผู้อุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส รวมทั้งติดตั้งเจลล้างมือฆ่าเชื้อแบบอัตโนมัติที่ด้านหลังหุ่นยนต์ด้วย นอกจากนี้หากลืมใส่หน้ากากอนามัยหุ่นยนต์อันเป็นสุดยอดนวัตกรรมยังสามารถช่วยเตือนได้อีกด้วย อ้างอิงhttps://travel.trueid.net/detail/vlXQKznOzAjphttps://www.therobotreport.com/coronavirus-response-growing-robotics-companies/ เดลิเวอรี โดรน เราอาจเคยได้ยินเรื่อง “โดรน” อากาศยานไร้คนขับที่สามารถบังคับได้จากระยะไกลกันมาบ้างแล้ว ในแง่ของการติดกล้องกับโดรนแล้วถ่ายในมุมสูงและกว้างทำให้ภาพหรือวิดีโอออกมาสวยงาม
โอกาสในวิกฤต มองชีวิตในมุมบวก เอก อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ช่างภาพอิสระ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 หลายชีวิตต้องเผชิญปัญหาจากการตกงาน ขาดรายได้ ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นวิกฤตที่ทำให้สภาพสังคมที่เราคุ้นเคยเปลี่ยนแปลงไป การใช้ชีวิตจึงยากลำบากมากขึ้น ในขณะที่หลายๆ คนไม่มีแรงจะสู้ต่อ หลายๆ คนรู้สึกท้อถอย กลับมีคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่คิดจะยอมแพ้ ไม่คิดจะหันหลังให้กับอุปสรรคตรงหน้า เขามองแค่ว่าถ้าเขาเข้มแข็งและมองหาโอกาสในวิกฤต อย่างน้อยตัวเขาเองและคนรอบข้างคงพอจะมีความหวัง เพราะเขาเชื่อว่าพลังที่ดีที่สุดในยามนี้คือพลังบวกนั่นเอง ไม่หยุดความคิด พิชิตโอกาสรอบตัว สถานการณ์ชีวิตของคนตัวเล็กแต่ใจสู้กับวิกฤตครั้งนี้ของ ช่างภาพหนุ่ม เอก อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา คงไม่ต่างจากคนอื่นมากนัก อาชีพช่างภาพเป็นอาชีพแรกๆ ที่ไม่มีงานหมุนเวียนเข้ามาในช่วงวิกฤตโควิด-19 และเป็นเวลาเกือบสองเดือน ที่แทบไม่มีงานให้ถ่ายทำ แต่เอก ก็ไม่ได้ใช้ช่วงเวลานี้หมดเปลืองไปเฉยๆ มันเป็นช่วงเวลาที่เขาได้มองไปรอบตัว ได้อยู่กับตัวเองและครุ่นคิดว่าสิ่งใดบ้างที่เขาจะทำได้ สิ่งใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัวที่สุด เอกค้นพบว่าคุณย่าของเขามีสูตรอาหารโบราณแบบฉบับชาววัง ที่เขาเคยกิน แต่คุณย่าไม่ได้ทำบ่อยนัก เขาคิดว่าสูตรอาหารพวกนี้ น่าจะถูกส่งต่อให้คนอื่นได้ชิมในช่วงโควิดบ้าง เขาเลยบอกคุณย่าว่า งั้นมาทำอาหารขายกันเถอะ คนจะได้กินอาหารสูตรชาววังอร่อยๆ เพราะอย่างน้อยของอร่อยก็คงทำให้คนกินยิ้มได้ “ในช่วงโควิดผมในฐานะช่างภาพอิสระ ก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน แต่ผมก็ลุกขึ้นสู้ด้วยการทำอาหารขายทางออนไลน์
การแพร่เชื้อขั้นรุนแรงของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในวงกว้าง และเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้เกิดการ disruption ขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงทำให้ตลอดระยะเวลาหลายเดือน ที่ผ่านมา เราเริ่มคุ้นชินกับกิจวัตรและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “New Normal” กันมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่างวิถีชีวิตใหม่ ดังนี้
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยาวนานกว่า 5 เดือน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกในทุกมิติ รวมถึงบรรดาสัตว์ ต่างๆ อีกด้วย การมีจิตสาธารณะหยิบยื่นความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ เป็นการแบ่งเบาความทุกข์ยากของผู้ที่กำลังประสบปัญหาได้อีกหนึ่งหนทางหนึ่ง โดยการให้ความช่วยเหลือสังคมนั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ มูลนิธิเอสซีจีจึงขอเป็น สะพานบุญ สะพานใจ นำตัวอย่างของการช่วยเหลือแบ่งปันให้กับสังคมในช่วงโควิด-19 ที่มีความน่าเชื่อถือ หลากหลายโครงการ ภายใต้รูปแบบการออนไลน์ที่ปลอดภัยตามหลักการของ Social Distancing มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อท่านใดจะสนใจร่วมออกแรงกาย แรงใจ หรือ กำลังทรัพย์ ตามความถนัดหรือความสะดวกของแต่ละคน ช่วยเหลือการแพทย์และสาธารณสุข กองทุนพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน และ รพ.สต. สู้ภัยโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 กองทุนนี้จัดตั้งขึ้นโดย มูลนิธิแพทย์ชนบท ที่อาสาเป็นองค์กรกลางในการระดมความช่วยเหลือแก่โรงพยาบาลชุมชนกว่า 778 แห่งทั่วประเทศ โรงพยาบาลชุมชนเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการควบคุมโรคโควิด โดยช่วยให้ผู้ติดเชื้อในอำเภอได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ และลดความเสี่ยงในการนำโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น ทั้งนี้ทุนที่ได้จากการบริจาคจะนำไปจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือที่ขาดแคลนดูแลบุคลากร สนับสนุนกิจกรรมที่จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน เป็นต้น สามารถบริจาคสมทบทุนได้ที่บัญชีมูลนิธิแพทย์ชนบท ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 340-201715-6 และขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ruraldoctor.or.th/projects/fund-covid19 กองทุนนวัตกรรมเพื่อวิจัยในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาไวรัสโควิด -19 และไวรัสอื่นๆ ในอนาคต
“การศึกษา” คำนี้อาจจะทำให้ทุกคนนึกถึงการเรียนการสอนรูปแบบเก่า ที่อยู่ในห้องเรียน หรือการเรียนในระบบตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศและสังคมโลก เราจะพาทุกคนมาสำรวจกันว่า การศึกษารูปแบบใหม่ในยุค New Normal นี้มีทิศทางการปรับตัวกันอย่างไรบ้าง
นับแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยป้องกันเชื้อโรค โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ล้างมือ (Alcohol Hand sanitizer) และหน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield) ได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญแห่งความปกติใหม่ (New Normal) ที่ทุกคนต้องมีติดตัวยามอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งทำให้พฤติกรรมในด้านสุขอนามัยและการใช้ชีวิตประจำวันของคนเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่มากกว่านั้นแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากป้องกันใบหน้ายังถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลหลากหลายอาชีพให้ลุล่วงและปลอดภัย โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องเสียสละเป็นด่านหน้าเพื่อเราทุกคนในสังคม เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ไม่เพียงแต่นักรบเสื้อขาวเพียงเท่านั้นที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสจากการปฏิบัติหน้าที่ หากแต่ยังมีเจ้าหน้าที่ในสาขาอาชีพอื่นๆ ที่ต้องให้บริการประชาชนด้วยความเสียสละ แม้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองในยามเกิดวิกฤตโควิด-19 หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าหน้าที่จัดการขยะและเจ้าหน้าที่กวาดถนน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในขณะปฏิบัติหน้าที่ เพราะต้องสัมผัสกับขยะที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคชนิดต่างๆ ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่อุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคที่ต้องใช้งานทุกวันอย่างหน้ากากป้องกันใบหน้าและแอลกอฮอล์ที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้ต้องใช้อย่างจำกัด เพราะเราเห็นถึงคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญของทุกๆ สาขาอาชีพที่ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤต อีกทั้งยังมีความห่วงใยพี่น้องบุคลากรที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยง เพราะรู้ว่าทุกคนยังมีครอบครัวอันเป็นที่รักอยู่เบื้องหลัง และต้องดูแลทั้งกำลังกาย และกำลังใจ ส่วนหนึ่งของเหล่านักรบชุดขาวที่ได้รับแอลกอฮอล์เจล จากมูลนิธิเอสซีจี มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จัดทำแอลกอฮอล์ที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองจาก อย. เพื่อส่งมอบกำลังใจนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ สถาบันบำราศนราดูร, สถาบันโรคทรวงอก, โรงพยาบาลสมเด็จพระนั่งเกล้า อีกทั้งยังส่งผ่านกรุงเทพมหานครเพื่อมอบให้กับเจ้าหน้าที่จัดการขยะ และเจ้าหน้าที่กวาดถนน ได้นำไปใช้ขณะปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งร่วมบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลอีกหลายแห่งเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์จำเป็นทางการแพทย์ นอกจากนี้มูลนิธิฯ
ในภาวะวิกฤตโควิด-19 มีคนมากมายที่ได้รับผลกระทบ บ้างตกงาน บ้างถูกลดเงินเดือน บ้างเจ็บป่วยบางคนหมดหวัง หมดกำลังใจในการเดินหน้า ไปต่อ แต่ท่ามกลางความหมดหวังเหล่านั้น กลับมีน้ำใจหยิบยื่นมาให้ ทำให้อย่างน้อยเราก็รู้ว่า….คนไทยไม่เคยทิ้งกัน และพร้อมจะดูแลซึ่งกันและกัน เริ่มจากดูแลคนใกล้ตัว “ถุงน้ำใจ” แทนความห่วงใย ในสถานการณ์วิกฤตของสังคมที่เกิดขึ้น หลายบริษัทต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็น Work From Home (WFH) และงดการจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในบริษัท แต่ยังคงมีบางหน้าที่ ซึ่งมีภารกิจที่ต้องเข้ามาดูแลไม่เว้นแต่ละวัน เช่น แม่บ้าน พนักงานขนย้าย พนักงานขับรถ แม้จะต้องมาปฏิบัติงานทุกวัน แต่ด้วยภารกิจที่น้อยลง ทำให้ค่าตอบแทนล่วงเวลาลดลงด้วย แม้เป็นจำนวนไม่มาก แต่สำหรับบางคนนับว่าเป็นเงินที่มีคุณค่าที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขาและครอบครัวให้อยู่รอดไปได้ในแต่ละเดือน มูลนิธิเอสซีจีตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้อง จึงขอส่งกำลังใจด้วยการมอบ “ถุงน้ำใจ” ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เสมือนคำขอบคุณเพื่อ ตอบแทนความรักและความเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยภายในถุง “น้ำใจ” บรรจุสินค้าอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้แก่ ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำตาล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สบู่ ผงซักฟอก รวมไปถึง หน้ากากผ้า และแอลกอฮอล์เจล
มูลนิธิเอสซีจีมีความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์เป็นอย่างยิ่ง จึงร่วมมือกับเอสซีจี เพื่อออกแบบและพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 เพื่อช่วยให้สามารถปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ และคนไทยให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แก่ ห้องคัดกรอง (Modular Screening Unit) ออกแบบให้ทีมแพทย์และพยาบาลอยู่ในห้องความดันบวกที่ปิดสนิท มีประตูเข้าออก 2 ชั้น เพื่อไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปในห้อง อากาศจึงสะอาดและปลอดภัยด้วยระบบระบายอากาศเข้าออก แสง UV เพื่อฆ่าเชื้อโรค พร้อมตัวกรองอากาศ HEPA Filter และระบบ Bio-polar Ion เพื่อฆ่าเชื้อที่อาจหลุดรอดเข้ามา โดยพื้นที่ของผู้ที่มีความเสี่ยงและเข้ามาคัดกรองจะเป็นพื้นที่โล่งภายนอกเพื่อให้อากาศถ่ายเท ส่วนการสอบถามอาการจะคุยผ่านทาง intercom ห้องตรวจหาเชื้อ (Modular Swab Unit) ออกแบบให้แยกพื้นที่ของแพทย์จากผู้รับการตรวจหาเชื้อออกจากกัน โดยเข้าออกคนละทาง เพื่อลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนจากละอองฝอยที่เกิดจากการไอหรือจามจากผู้ที่เข้ารับการตรวจ โดยแพทย์อยู่ห้องความดันบวกเพื่อไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปในห้อง อากาศจะสะอาดและปลอดภัย ส่วนคนไข้อยู่ในห้องความดันลบเพื่อไม่ให้เชื้อฟุ้งไปนอกห้อง โดยแพทย์จะตรวจคนไข้และดำเนินการเก็บตัวอย่าง (Swab) ผ่านช่องที่เจาะไว้และมีถุงมือสวมใส่ป้องกันการติดเชื้อ ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่(Negative Pressure Isolation Room) นวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ เหมาะกับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉิน เพื่อให้แพทย์และพยาบาลสามารถรักษาผู้ป่วยหนักได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นๆ ผลิตจากโครงโลหะที่มีความแข็งแรง ครอบด้วยผ้าใบ และพลาสติก PVC แบบใส
หากเปรียบการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นยุทธศาสตร์การรบกับศัตรูที่มองไม่เห็นและไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน ทหารด่านหน้าที่ต้องต่อสู้ก็คือ ‘บุคลากรทางการแพทย์’ ซึ่งต้องรับมือการตรวจและคัดกรองผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ก่อนส่งต่อเพื่อการรักษาเฉพาะในขั้นตอนต่อไป ทว่าการสังเกตอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถระบุได้ทันทีว่าผู้ป่วยรายนั้นติดเชื้อไวรัสและเป็นพาหะของโรคโควิด-19 หรือไม่ จึงทำให้บุคคลกลุ่มนี้เป็นผู้มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อไวรัสโดยตรง ดังนั้นการติดอาวุธและเครื่องป้องกันด้วยนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเปรียบเสมือนนักรบชุดขาว จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 มูลนิธิเอสซีจี มีความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์เป็นอย่างยิ่ง จึงร่วมมือกับเอสซีจี เพื่อออกแบบและพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด-19 โดยมีจุดเริ่มต้นจากทีมนักวิจัยของเอสซีจีได้ร่วมพูดคุยกับคณะแพทย์ของโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นเสมือนการผนึกกำลังของนักรบทัพหน้าและทัพหลัง เพื่อช่วยปฏิบัติภารกิจสร้างยุทธภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์ในการปกป้องเชื้อไวรัสภายในระยะเวลาอันสั้น จนกระทั่งเกิดเป็นนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ได้แก่ ห้องคัดกรอง ออกแบบให้ทีมแพทย์และพยาบาลอยู่ในห้องความดันบวกที่ปิดสนิท มีประตูเข้าออก 2 ชั้น เพื่อไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปในห้อง อากาศจึงสะอาดและปลอดภัยด้วยระบบระบายอากาศเข้าออก แสง UV เพื่อฆ่าเชื้อโรค ห้องตรวจหาเชื้อ ออกแบบให้แยกพื้นที่ของแพทย์จากผู้รับการตรวจหาเชื้อออกจากกัน โดยเข้าออกคนละทาง เพื่อลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนจากละอองฝอยที่เกิดจากการไอหรือจามจากผู้ที่เข้ารับการตรวจ ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่ นวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ เหมาะกับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉิน เพื่อให้แพทย์และพยาบาลสามารถรักษาผู้ป่วยหนักได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นๆ ห้องตรวจเชื้อความดันลบหรือบวกแบบเคลื่อนที่ นวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการตรวจวินิจฉัย (Swab) โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ นวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้าย แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบขนาดเล็กสำหรับเข้าเครื่อง CT Scan นวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าเครื่อง CT Scan ออกแบบให้มีขนาดพอดีสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อ