Skip to content

LEARN to EARN ทางเลือก เพื่ออยู่รอด การปรับตัวให้ทัน ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้เปลี่ยนไป

แม้เราจะคุ้นเคยกับคำกล่าวที่ว่า “การเรียนรู้ไม่สิ้นสุด” หรือ “Lifelong Learning” กันมานาน แต่คงไม่มียุคไหนจะเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ได้ชัดเจนเท่าในยุคนี้แล้ว… ยุคที่ว่าคือยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท และได้เปลี่ยนชีวิตแบบพลิกฝ่ามือ ยุคที่ AI คืบคลานเข้ามาแทนที่หลายสิ่ง นับจากนี้ต่อไปโฉมหน้าของโลกและชีวิตผู้คนจึงพร้อมเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอีกมาก นั่นแปลว่าหากเราไม่ปรับตัว หรือไม่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือทักษะใหม่ๆ เราอาจกลายเป็น “คนตกยุค” หรือ “อยู่รอดได้ยาก” ในโลกที่เดินหน้าเร็วแบบก้าวกระโดดเช่นนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกของอาชีพการทำงาน ซึ่งเป็นภาคส่วนใหญ่ของชีวิตที่หลายคนเริ่มมองเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า หลายอาชีพถูกลดบทบาทลง หลายอาชีพถูกแทนที่ และหลายอาชีพหายไปแล้วแบบที่เราไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัวก็มี ขณะเดียวกันก็มีหลายอาชีพเกิดใหม่ พร้อมทักษะใหม่ และองค์ความรู้ใหม่ๆ อีกมากที่เราอาจไม่คุ้นเคย

..แล้วทางเลือก ทางรอดของชีวิตเรา อยู่ตรงไหน!?

LEARN to EARN ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด

หากวันนี้เราคือส่วนหนึ่งของบุคลากรในโลกของการทำงาน บางครั้งก็พบว่า ทักษะที่เรามีอาจไม่เพียงพออีกต่อไป  การเรียนรู้เฉพาะในห้องเรียนหรือการจํากัดอายุผู้เรียนแทบจะไม่มีอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “การเรียนรู้อยู่มากกว่าแค่ในห้องเรียน” หรือ “การเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ” สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกยุค ทุกสมัย เป็น Lifelong Learning

มูลนิธิเอสซีจี ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่อยากเห็นคนทุกคนมี mindset เหล่านี้  จึงให้ทุนเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาให้ครอบคลุมทั้งในระบบและนอกระบบ รวมทั้งการเดินหน้าขยายแนวคิด “LEARN to EARN“ เรียนรู้เพื่ออยู่รอด เน้นการเรียนรู้เพื่อมีงานทำ พัฒนาทั้งทักษะวิชาชีพ (Hard skills) และทักษะชีวิต (Soft skills) เพราะเชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าและศักยภาพในตัวเองสามารถเผชิญโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยใช้การเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืนอย่างมีความสุข

ทั้งนี้ มูลนิธิเอสซีจี ร่วมมือกับ TDRI (Thailand Development Research Institute) ทำการสำรวจและวิจัยเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหรือสถานการณ์แรงงานที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เพื่อกระตุ้นเตือน ให้เกิดความตระหนักรู้และเร่งมือแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนจากหลายภาคส่วนไปด้วยกัน

ผลสำรวจชี้ชัด โลกอาชีพการงาน เปลี่ยนไปแล้ว

จากผลสำรวจของตลาดแรงงานในหลากหลายวงการตลอดช่วงเวลา 2-3 ทศวรรษ สะท้อนให้เห็นว่า  แม้ว่าแรงงานไทยจะมีระดับการศึกษาสูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ดูเหมือนว่าโครงสร้างอาชีพแรงงานไทยกลับไม่ได้ยกระดับตามระดับการศึกษาไปด้วย ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก 3 เรื่องหลักๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. ประเทศไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะความรู้ และมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
  2. ระบบการศึกษาไทยแม้จะสามารถกระจายโอกาสการศึกษาได้ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเชิงคุณภาพ ส่งผลให้ไม่มีทักษะเพียงพอสำหรับตำแหน่งงาน หรือทักษะที่มีอยู่ในตลาดแรงงานไม่ตรงกับทักษะที่นายจ้างในตำแหน่งงานนั้น ๆ ต้องการ  จนนำไปสู่ข้อ 3 นั่นคือ
  3. ความไม่เข้ากันระหว่างความต้องการแรงงานในตลาดแรงงาน กับระบบการศึกษาที่ผลิตแรงงานเหล่านั้นออกมา หรือ Skill Mismatch ซึ่งเป็นไปได้ทั้ง
    • แรงงานมีวุฒิการศึกษาสูง-ต่ำ กว่าที่ตลาดแรงงานต้องการ
    • แรงงานมีวุฒิการศึกษาตรง แต่กลับจบไม่ตรงสาขาที่ตลาดแรงงานต้องการ

การไม่เข้ากันนี้ นับว่าเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงและมีผลกระทบ ทั้งในระดับการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา  โดยเฉพาะในระดับอาชีวศึกษาที่ต่างผลิตแรงงานออกมาทำงานอาชีพที่เฉพาะเจาะจง  การศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยยังพบอีกว่าส่วนใหญ่ทำงานไม่ตรงสายค่อนข้างมาก และนับว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เช่น

ผู้จบฯ ปวช. อายุระหว่าง 21-30 ปี  ทำงานไม่ตรงสายถึง 90% 

ผู้จบฯ ปวส. อายุระหว่าง 21-30 ปีทำงานไม่ตรงสายถึง 84%

สัดส่วนผู้สำเร็จอาชีวศึกษาที่ทำงานตรงสาย

ความต้องการแรงงาน แบ่งตามอุตสาหกรรม

ข้อมูลจากการสำรวจโดย TDRI (Thailand Development Research Institute) ในปี 2024 พบว่า ตลาดแรงงานไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการจ้างงาน และ ทักษะของตลาดแรงงานไทยมีลักษณะเป็นแรงงานทักษะต่ำ  

จากข้อมูลการอนุมัติบัตรส่งเสริมฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2561 ถึงปี พ.ศ. 2566

หากจัดกลุ่มการลงทุนตามประเภทกิจกรรมหมวดใหญ่  จะพบว่า ในแง่เงินลงทุน อุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมีมีการลงทุนมากที่สุด (446,948 ล้านบาท) ตามมาด้วยอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค ตามลำดับ

แต่หากพิจารณาตามจำนวนการจ้างงาน พบว่าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีการจ้างงานมากที่สุด ตามมาด้วยอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ และอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ตามลำดับ

นอกจากนี้ทางมูลนิธิเอสซีจี ยังได้ทำการสำรวจเชิงลึกเพื่อค้นหาและทำความเข้าใจต่อทัศนคติต่อการเรียนรู้ รวมถึงการพัฒนาทักษะต่างๆที่สำคัญมากต่อการทำงาน การมีเพียง Hard skills อาจไม่เพียงพอในสภาพแวดล้อมการทำงานในปัจจุบัน เพราะแม้ Hard skills จะเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการทำงานเฉพาะทาง เช่น ความสามารถทางเทคนิคหรือความรู้ด้านวิชาชีพ แต่การทำงานในองค์กรก็มักต้องการ Soft skills ร่วมด้วย

ดังนั้นการมีทั้ง hard skills และ soft skills จะทำให้บุคคลมีความสามารถในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานได้ดี ซึ่งแน่นอนว่าในยุคนี้เราควรจะต้องมีทั้ง 2 ทักษะควบคู่กัน

ทั้งนี้ยังได้ร่วมกับบริษัท ฟาร์อีสท์ เฟมไลน์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน) ทำการสำรวจเพิ่มเติมในกลุ่ม Newgen (GEN Y & Z) ช่วงอายุ 15-34 ปี กว่า 500 คน  และกลุ่ม Opinion leader เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะที่ควรมีเพื่อสนับสนุนการอยู่รอดอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด LEARN to EARN จากผลสำรวจถึงทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ เราพบว่าทักษะที่ส่วนใหญ่มองว่าเป็นทักษะที่สำคัญและจำเป็น เป็นทักษะ Soft Skills  โดยมี Skill set ที่สำคัญดังนี้ 

นอกจากนี้ยังมีทักษะอื่นๆ ที่ควรมี เช่น ภาวะความเป็นผู้นำ (Initiative Leadership) ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Personal Attributes) ความคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือทักษะที่อยู่นอกห้องเรียน ขณะเดียวกันก็นับเป็นส่วนหนึ่งของทักษะที่ต้องทำความเข้าใจและศึกษาไปตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน

จากข้อมูลทั้งหมดนี้แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การเดินหน้าแบบก้าวกระโดดของโลก กำลังผลักดันให้เราออกไปเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ มากขึ้น ฉะนั้นการเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป การจะดำรงชีวิตในโลกการทำงานที่เปลี่ยนไปจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ

ในผลงานสำรวจนี้ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจอีกว่า Gen Z ถึง 50% ไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอาชีพ / ศึกษาสาขาใด และมากกว่า 37%  ที่ยังขาดคนให้คำปรึกษาหรือแนะนำในการศึกษาต่อ  ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีสถาบันหนึ่งที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ทันที นั่นคือสถาบันครอบครัว ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้น ในการปลูกฝังให้เด็กมี Mindset การรักที่จะเรียนรู้ เรียนรู้จากการเริ่มรู้จักตัวเอง รวมถึงพยายามค้นหาให้เจอว่าตัวเองชอบอะไร แล้วจึงเริ่มเลือกว่าจะเรียนรู้ พัฒนาทักษะใดต่อไป นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เช่น

“การเรียนรู้เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้มนุษย์รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร”

“คนให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มากขึ้น เพราะโครงสร้างประชากรเปลี่ยนเร็วมาก เด็กลดลง แรงงานลดลง ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น จึงต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิตว่าจะอยู่อย่างไรจากวัยเด็กสู่วัยสูงอายุจนเสียชีวิต”

“ปัญหาไม่ใช่เทคโนโลยีแต่ปัญหาคือชาวบ้านไม่มีทักษะที่จะใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์กับเขาได้เพราะฉะนั้นจะทําอย่างไรที่เราจะสอนให้เด็กนักเรียนมีทักษะเหล่านี้ ที่ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรมา จะไปช่วยไปเติมไปเสริมเขาได้”

“การเรียนรู้เพื่ออยู่รอด ใช้ 2 หลักการ คือ ยั่งยืน และยืดหยุ่น ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แต่บางครั้งก็ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์”

ในยุคที่ทุกสิ่งเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจนไล่ตามแทบไม่ทัน และผู้คนต่างมองหาความสำเร็จของชีวิต แต่จากเนื้อหาข้างต้นที่เราได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่ากว่าจะสำเร็จได้คงต้องอาศัยหลากหลายปัจจัย และคงต้องใช้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะครอบครัว บุคลากรและผู้ที่มีส่วนร่วมเกี่ยวกับการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถเริ่มต้นได้เลยที่ตัวเรา เริ่มเปิดมุมมองใหม่ ปรับตัวให้ทัน และพัฒนาตนเอง ซึ่งสิ่งที่ต้องมี และจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ

  1. ต้องมี Mindset การเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็น Life long learner
  2. ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพราะความรู้มีวันหมดอายุ

ปัจจัยที่กล่าวมานี้อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จเพื่อเป็นทางเลือกของการมีชีวิตที่ราบรื่นขึ้น แต่หากหมายถึงเพื่อเป็นทางรอดของชีวิตในวันที่เราอาจถูกแทนที่ในโลกของการทำงานได้ทุกเมื่อ แม้ไม่มีใครทราบว่า 3-5 ปีข้างหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เหนือความคาดหมายอะไรเกิดขึ้นบ้าง การหยุดการเรียนรู้จึงเท่ากับหยุดการก้าวเดิน การเรียนรู้ที่หยุดนิ่งจะทำให้เราถูกทิ้งไว้ด้านหลัง และไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ เพราะสังคมการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่งทำให้เราต้องตระหนักรู้ในการเลือก LEARN  ที่นำมาซึ่งการ EARN ในการปรับตัวให้เรียนรู้เพื่ออยู่รอดอย่างมีจริยธรรมคุณธรรมควบคู่กันในสังคมได้ต่อไป