การศึกษา ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศ เสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ในการวางรากฐานและเพิ่มโอกาสที่ดีในอนาคตให้แก่คนในชาติ ซึ่งหากพิจารณาจากจำนวนประชากรในประเทศไทยที่มีประมาณ 65 ล้านคน มีการใช้งบประมาณการศึกษาเฉลี่ยประมาณปีละกว่า 6 แสนล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้วสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศกานา และอยู่ในระดับที่สูงกว่าประเทศที่มีการพัฒนาด้านการศึกษา เช่น สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น แต่ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ที่จัดทำโดยองค์การสหประชาชาติ พบว่า อันดับของไทยแทนที่จะดีขึ้นกลับตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และในจำนวนเด็กและเยาวชนวัยเรียนทั้งหมด 15.2 ล้านคน มีเด็กด้อยโอกาสเกือบ 5 ล้านคน ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เด็กไทยหลุดออกจากระบบการศึกษา
มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มีพันธกิจในการพัฒนาคน จึงขอทำหน้าที่โดยการหยิบยื่นโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนที่ขาดแคลน ภายใต้โครงการ SCG Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี มายาวนานกว่า 33 ปี นับจากปี 2524 จนถึงปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาแก่น้องๆ ไปแล้วกว่า 63,000 คนทั่วประเทศ ด้วยงบประมาณกว่า 550 ล้านบาท โดยให้ทุนอย่างต่อเนื่องจากระดับประถมศึกษาจนถึงปริญญาตรี และเพื่อเป็นการต้อนรับน้องๆ นักเรียนทุนอย่างเป็นทางการ จึงได้จัดงาน “SCG Foundation Family Day” ขึ้น เปิดโอกาสให้สมาชิกครอบครัวมูลนิธิเอสซีจีได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ระหว่างมูลนิธิเอสซีจีและนักเรียนทุนรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง หลังจากเดินสายพบปะนักเรียนทุนในภาคกลาง และภาคเหนือไปแล้ว ทางมูลนิธิเอสซีจียังคงเดินหน้าพบปะน้องๆนักเรียนทุนอย่างต่อเนื่องในภาคอีสาน โดยมี คุณขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วย คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจีนำทีมผู้บริหารพบปะนักเรียนทุนภาคอีสาน โดยมีนักเรียนทุนจากมูลนิธิเอสซีจี ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องจากภาคอีสานกว่า 200 คน บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ร่วมฟังธรรมะในหัวข้อ “ชีวิตวัยรุ่นในยุคออนไลน์” รวมถึงกิจกรรม “แชร์ความฝัน แบ่งปันความดี” โดยเป็นกิจกรรมบอกเล่าเรื่องราวสู่หนทางความสำเร็จจากรุ่นพี่นักเรียนทุนในโครงการ ตลอดจนรับฟังแง่คิดดีๆ ในหัวข้อ “วัยรุ่น วัยเรียน ล้วงสูตรลับปรับอนาคต” จากผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนต่อมไร้ท่อและการเจริญพันธุ์ และปิดท้ายที่ กิจกรรมจิตอาสา ที่ให้น้อง ๆ ร่วมกัน ประดิษฐ์ของเล่นเสริมทักษะและชั้นหนังสือเพื่อส่งต่อความสุขให้แก่น้องๆ สถานสงเคราะห์เด็กบ้านแคนทอง จังหวัดขอนแก่น
งานนี้เปรียบเสมือนงานที่สมาชิกครอบครัวมูลนิธิเอสซีจีได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และเป็นเวทีกลางให้รุ่นพี่นักเรียนทุนอย่าง “พี่ผึ้ง” สุพัตรา ประศาสนโรจน์ หนึ่งในรุ่นพี่นักเรียนทุน จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะการบัญชีและการจัดการ สาขาวิชาการตลาด มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจี เป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่มหาวิทยาลัยปีที่ 1 – ปี 4 และปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการฟาร์มเห็ดนางฟ้า ร่วมบอกเล่าประสบการณ์ “แชร์ความฝัน แบ่งปันความดี” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจพร้อมให้แง่คิดในการเรียนกับน้องๆ อย่างน่าประทับใจว่า
“ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเรียนเก่ง แต่ควรจะขยัน มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ที่สำคัญคือ ควรเลือกเรียนในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง ใช้เวลา ใช้โอกาส เรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านกิจกรรม พี่ผึ้งเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่รู้ว่าตัวเองควรจะเรียนอะไร ไม่นิ่งเฉย จะช่วยเหลือและทำกิจกรรมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพราะกิจกรรมที่เราทำ ก็เหมือนการเรียนรู้นอกห้องเรียน สอนให้เราได้ฝึกคิด ฝึกทำ และเป็นใบเบิกทางให้พี่ผึ้งได้พบกับโอกาสดีๆ จากทางมูลนิธิเอสซีจี เด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งได้มองเห็นอนาคตชัดเจนขึ้น ทุนการศึกษาที่ได้รับจากมูลนิธิเอสซีจี ทำให้พี่ผึ้งและครอบครัวไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเพราะเดิมทีฐานะทางที่บ้านไม่ค่อยดีนักมันเป็นความภาคภูมิใจว่าเรามีคุณค่าและมีคนมอบโอกาสให้กับเรา พี่ผึ้งจึงมุ่งมั่นและตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะคนเรามีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ค้นหาตัวเองให้เจอ และเมื่อได้รับโอกาสดีๆ แล้วก็ควรจะใช้ให้เป็น ให้คุ้มค่า แล้วความสำเร็จจะไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ ผึ้งขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีค่ะ ถ้าหากไม่มีมูลนิธิเอสซีจีในวันนั้น ก็คงไม่มีผึ้งในวันนี้” พี่ผึ้งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
สำหรับ งาน SCG Foundation Family Day ไม่ได้จบเพียงการพบปะสังสรรค์เพียงเท่านั้น ทางมูลนิธิเอสซีจียังเดินสายเยี่ยมน้องๆ เพื่อซักถามพูดคุยถึงสภาพความเป็นอยู่ของน้อง และถือเป็นการกระชับสายสัมพันธ์อันดีต่อครอบครัวของน้องนักเรียนทุนกันถึงบ้านเลยทีเดียว
เริ่มต้นกันที่บ้าน “น้องเฟิร์น” ศิริประภา คำหล้า อายุ 22 ปี ที่อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ซึ่งน้องเฟิร์นได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจีมาเป็นระยะเวลา 12 ปี ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปัจจุบันกำลังศึกษาคณะครุศาสตร์ เอกภาษาไทย ชั้นปีที่ 4 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย วิทยาเขตขอนแก่น โดยน้องเฟิร์นและครอบครัวได้กล่าวเปิดใจถึงการเป็นหนึ่งในครอบครัวของมูลนิธิเอสซีจีไว้ว่า
“เฟิร์นและครอบครัวขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีมากๆ ค่ะ ที่ให้โอกาสเฟิร์นได้เรียนหนังสือ ฐานะทางบ้านเฟิร์นค่อนข้างลำบาก มีที่นาอยู่น้อยนิดไว้สำหรับปลูกข้าวกินเองเท่านั้น คุณพ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ส่วนคุณแม่มีอาชีพทอผ้า เฟิร์นมีน้องชายหนึ่งคน รายรับที่มีก็ไม่เพียงพอ คุณพ่อจึงต้องออกจากหมู่บ้านไปทำงานต่างจังหวัด คุณแม่ก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น แต่เมื่อเฟิร์นได้รับโอกาสจากทางมูลนิธิเอสซีจี สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวเราก็ค่อยๆ ดีขึ้น เฟิร์นจะตั้งใจเรียน และจะกลับมาเป็นคุณครูสอนหนังสือให้กับน้องๆ เด็กในโรงเรียนบ้างวังเวินกุดหล่ม ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่า และเป็นจุดเริ่มต้นในการหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้เฟิร์น เฟิร์นจะขอกลับมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้ที่ดีในบ้านเกิดของตัวเอง และดูแลครอบครัวของเฟิร์นให้สุขสบายกว่าที่เป็นอยู่ นี่คือความฝันของเฟิร์นค่ะ” เฟิร์นกล่าว
จากบ้านสาวน้อยอนาคตคุณครูภาษาไทยผู้รักบ้านเกิด ทีมงานมูลนิธิเอสซีจี ก็ได้เดินทางต่อไปยังบ้านของ “น้องดาว” วรรณภา ขุลี อายุ 20 ปี สาวน้อยผู้มีความฝันจากอำเภอชนบทอีกหนึ่งคน ซึ่งน้องดาวได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจีมาเป็นระยะเวลา 12 ปี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับ ปวส.2 สาขาคอมพิวเตอร์ ที่วิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น น้องดาวและคุณแม่ได้เล่าให้ฟังว่า
“ดาวเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีความฝัน อยากเรียนให้สูงที่สุด ตอนนี้ดาวศึกษาอยู่ ปวส.ปี 2 และดาวอยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย อยากมีงาน มีอาชีพดีๆ เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อก่อนคุณพ่อเป็นหัวเรือหลักของบ้าน คุณแม่ก็คอยช่วยคุณพ่อทำงาน ดำนา รับจ้างทั่วไป และในที่สุดความฝันที่มีมันก็ชัดเจนขึ้น เมื่อมูลนิธิเอสซีจีได้มองเห็นและให้โอกาสดาวมาตลอด 12 ปี ดาวรู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักกับพี่ๆ ในมูลนิธิเอสซีจี ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้โอกาส แต่ยังเป็นกำลังใจ เป็นที่ปรึกษา คอยให้คำแนะนำ อยู่ข้างๆ ดาวและครอบครัวมาโดยตลอด” น้องดาวกล่าว
“อยากเรียน…แต่ยากจน” เสียงเล็กๆ ในสังคมไทยที่หลายคนมองข้าม จะเห็นได้ว่า “ความยากจน” ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย และเหตุผลเหล่านี้เอง ที่มูลนิธิเอสซีจี ยังคงเดินหน้าและก้าวต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อให้โอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชน ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศไทย เราจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนเดินไปข้างหน้าอย่างมีศักยภาพสูงสุด เพื่อเป็นเส้นทางไปสู่การพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างเสมอภาค เท่าเทียมและยั่งยืน