เป็นเวลา 30 กว่าปีแล้วที่มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมกับเพื่อนพนักงานเอสซีจีทั้งชายและหญิง เสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์ และวันหยุดพักผ่อนประจำปีออกเดินทางไปทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในรูปแบบโครงการค่ายอาสาพัฒนาเอสซีจี โดยก่อสร้างอาคารเรียนให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารปีละหนึ่งหลัง เพื่อเป็นเป็นแหล่งเรียนรู้ในการวางรากฐานด้านปัญญาให้กับเยาวชน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจี และการอนุเคราะห์วัสดุก่อสร้างจากบริษัทในเครือเอสซีจี
ในปีนี้ มีพนักงานเอสซีจีและสมาชิกในครอบครัว เสริมทัพด้วยจิตอาสาของน้องฝีมือชน คนสร้างชาติจากวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ และวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่นรวมกันแล้วกว่า 550 ชีวิต ร่วมเดินทางไปก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 34 และห้องน้ำ ณ โรงเรียนบ้านคำครึ่ง ต.หัวนาคำ อ. กระนวน จ. ขอนแก่น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน และครูอาจารย์ในพื้นที่ที่ระดมแรงกายแรงใจมาช่วยงานก่อสร้าง ประกอบอาหาร เด็กนักเรียนมาช่วยบริการน้ำดื่ม ไม่เพียงเท่านี้ยังได้รับน้ำใจจากรั้วของชาติ ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายศรีพัชรินทร มาช่วยเสริมแรง คนละไม้คนละมือร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนชั้นเดียว ขนาด 7X36 เมตร จำนวน 4 ห้องเรียน และ ห้องน้ำ 1 หลัง จำนวน 6 ห้อง ภายในระยะเวลาเพียง 9 วัน (ไม่รวมระยะเวลาการก่อสร้างวางฐานราก) หวังให้อาคารหลังนี้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียน ขยายโอกาส และพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษาให้แก่น้องๆ เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวในวันมอบอาคารเรียนว่า “มูลนิธิเอสซีจี เล็งเห็นว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีที่เรียนที่เอื้อต่อการศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เด็กๆ เติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ที่ผ่านมามูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีส่งมอบอาคารเรียนให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ทางการศึกษาของเด็ก และเยาวชน โดยได้สร้างและมอบอาคารเรียนไปแล้ว 33 หลัง ห้องน้ำ 8 หลัง สถานพยาบาล 2 หลัง และถังเก็บน้ำฝน 2 ถัง โดยในปี 2558 นี้ได้สร้างอาคารเรียน และห้องน้ำด้วยงบประมาณ 4 ล้านบาท ให้แก่โรงเรียนบ้านคำครึ่ง ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังที่ 34 ”
กว่าจะสำเร็จเป็นอาคารเรียนหลังใหม่ที่สวยงามพร้อมให้เด็กๆ บ้านคำครึ่งได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนนั้น เบื้องหลังชาวค่ายทุกคนต้องทำงานท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุ สลับกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความมุ่งมั่นของจิตอาสาที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทำงานกันอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำเปลี่ยนพื้นที่รกร้างจากกองดินเป็นอาคารเรียนจนเสร็จสมบูรณ์
น้องวาว ชัชวาล ร่มไตรรัตน์ พนักงานเอสซีจี ผู้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเป็นปีแรกเปิดเผยว่า “รู้สึกได้ถึงความสุขของการได้ทำประโยชน์เพื่อสังคม ปกติในชีวิตประจำวันเราก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นมากนัก การทำงานหรือไปเที่ยวกินเล่นก็เพื่อความสุขของตัวเอง แต่การได้มาทำประโยชน์เพื่อตอบแทนสังคมอย่างการร่วมออกค่ายก่อสร้างอาคารเรียนถือว่าได้ช่วยให้น้องๆ บ้านคำครึ่งได้มีสถานที่เรียนเพียงพอเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้นให้กับอนาคตของชาติ”
ด้านน้องกระแต กมลวรรณ จอมแก้ว พนักงานเอสซีจีน้องใหม่หัวใจอาสาที่มาร่วมออกค่ายเป็นปีแรกเช่นกันเปิดเผยประสบการณ์การเป็นผู้ให้ว่า “งานหลักๆ ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และลงมือทำกับพี่ๆ ชาวค่าย คืองานโป๊วสี ตั้งแต่กำแพง จนถึงหัวตะปูตามเสา ต้องบอกว่าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลย โชคดีที่ได้คำแนะนำที่ดีสอนเทคนิคการโป๊วสีจากพี่ๆ ชาวค่าย ตอนทำก็เหนื่อยมากแต่พอเห็นอาคารเรียนสร้างเสร็จ เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ และทุกคนในชุมชน ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการก่อสร้างสถานที่บ่มเพาะความรู้ให้แก่เยาวชนในถิ่นทุรกันดารในครั้งนี้”
เช่นเดียวกับน้องแซ็ค เนธิพงษ์ พลตรี นักเรียนทุนฝีมือชน คนสร้างชาติ โดย มูลนิธิเอสซีจี ที่อาสามาร่วมค่ายในครั้งนี้ได้กล่าวเสริมว่า “ผมภูมิใจมากที่ได้นำความรู้เทคนิคทางช่างที่ได้ร่ำเรียนมาร่วมก่อสร้างอาคารเรียนครั้งนี้ การมาออกค่ายทำให้ผมได้ลงมือปฏิบัติงานจริงๆ แถมยังได้เกร็ดความรู้ฝีมือช่างที่ไม่มีในตำราเรียนอีก แม้จะเหน็ดเหนื่อยร่างกายแต่ก็มีความสุขใจที่ได้ทำ และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กช่างน้ำดียังมีอยู่ในสังคมไทย”
ทั้งนี้ทางมูลนิธิฯ ยังมอบชุดครุภัณฑ์ ชั้นหนังสือ อุปกรณ์กีฬาให้กับทางโรงเรียน และร่วมกับบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด มอบสนามเด็กเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีทางด้านร่างกาย บริษัทเอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) มอบศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่โรงเรียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้นำนักเตะชื่อดัง อาทิ สารัช อยู่เย็น กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นาโออากิ อาโอยามะ และสต๊าฟโค้ชสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ เดินทางมาเปิดคลินิกฝึกสอนเทคนิคการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐานให้น้องๆ เพื่อปลูกฝังความรักในการกีฬา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ
ขณะที่เด็กหญิงอังกอร์ มูลสมบัติ นักเรียนโรงเรียนบ้านคำครึ่งพูดถึงความรู้สึกประทับใจว่า “หนูมาโรงเรียนทุกวันช่วงก่อสร้าง มาช่วยเสิร์ฟน้ำให้พี่ๆ คนค่ายได้ดื่มกัน แทนคำว่าขอบคุณ ต้องบอกว่าดีใจมากค่ะที่ชุมชนเราได้รับโอกาสให้ได้มีอาคารเรียนสวยงามหลังนี้ มีโต๊ะเรียนใหม่ หนังสือใหม่ อุปกรณ์กีฬา และยังได้เจอนักฟุตบอลชื่อดังอีกด้วย ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจี และพี่ๆ จิตอาสาทุกคนที่เห็นความสำคัญเรื่องการศึกษาของเด็กต่างจังหวัดอย่างพวกหนู ทำให้พวกเรามีอาคารเรียน และห้องน้ำที่เพียงพอ ขอขอบคุณค่ะ”
การให้โอกาสทางการศึกษา ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นการลงทุนทางปัญญาที่คุ้มค่าที่สุด มูลนิธิเอสซีจีจึงดำเนินการสร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน ด้วยมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเห็นเด็กๆ เติบโตเป็น “คนเก่งและดี” ในวันหน้าเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของชุมชม สังคม และประเทศในอนาคตต่อไป เพราะมูลนิธิเอสซีจีเชื่อมั่นในคุณค่าของคน