มูลนิธิเอสซีจี เปิดนิทรรศการแสดงศิลป์สัญจร ครั้งแรก “จะอั้น จะอี้ จะอาร์ต” จากโครงการรางวัลยุวศิลปินไทยสู่นครลำปาง

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นพัฒนาคน และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้ดำเนินโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย Young Thai Artist Award เวทีการประกวดศิลปะระดับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์งานศิลป์ ได้มีเวทีในการแสดงความสามารถเชิงศิลปะอย่างกว้างขวาง เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยจากทั่วประเทศได้มีพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถด้านศิลปะถึง 6 สาขาได้แก่ สาขาศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านศิลปะ เพื่อร่วมกันเจียระไนเพชรเม็ดงามประดับวงการศิลปะไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 1 ทศวรรษ

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “นับเป็นปีที่ 13 ของโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย หรือ Young Thai Artist Award ที่ดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2547 และในปี 2560 มูลนิธิเอสซีจีได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณา-โปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลยอดเยี่ยมแก่น้องๆ ยุวศิลปินไทยทั้ง 6 สาขา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งเหล่ายุวศิลปินไทย คณะกรรมการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฯ ทุกคนทุกฝ่าย รวมทั้งมูลนิธิเอสซีจีต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ถือเป็นเกียรติประวัติ เป็นขวัญและกำลังใจของพวกเราทุกคน”

นอกจากนี้ เพื่อเผยแพร่ผลงานศิลปะสุดสร้างสรรค์ของยุวศิลปินไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มูลนิธิฯ จึงได้นำผลงานของน้องๆ มาจัดแสดง ณ หอศิลปะและการแสดงนครลำปาง บ้านบริบูรณ์ จังหวัดลำปาง ซึ่งถือเป็นการจัดนิทรรศการพิเศษ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทยสัญจร เป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านศิลปะมาสู่ชุมชน และเป็นโอกาสอันดีของเหล่ายุวศิลปิน ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่จะได้สัมผัสสุนทรียะแห่งศิลปะจากศิลปินรุ่นใหม่และศิลปินล้านนาอันก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อจรรโลงสังคมสืบไป

การจัดการประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทยในปีนี้มีน้องๆ เยาวชนที่มีหัวใจรักงานศิลปะจากทั่วประเทศได้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 300 ชิ้นงาน และได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขา จนเหลือผลงานสร้างสรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจำนวน 36 ชิ้นที่ได้รับรางวัล

ซึ่งนำมาจัดแสดงให้ทุกคนได้สัมผัสถึงผลงานศิลปะที่มีอัตลักษณ์ของยุวศิลปินรุ่นใหม่

ด้านชมัยภร แสงกระจ่าง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2557 หนึ่งในคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทยเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ในศิลปะหลากหลายแขนง โดยให้อิสระในการสร้างสรรค์งาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาศิลปะวัฒนธรรมของไทยแบบร่วมสมัยไว้ได้ด้วย สังเกตจากผลงานที่ได้รับรางวัล ผู้สร้างสรรค์สะท้อนความคิดของตนเองผ่านงานศิลปะ ด้วยวิธีการของตนเองที่แสดงออกถึงความร่วมสมัยได้อย่างชัดเจน การที่มูลนิธิเอสซีจีได้ริเริ่มนำผลงานศิลปะมาสัญจรในครั้งนี้จะยิ่งทำให้ผู้คนได้ชมผลงานศิลปะที่หลากหลาย เป็นการกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดให้แตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวางโดยเห็นมุมมองศิลปะใหม่ๆ ผ่านงานศิลปะนั้นๆ และแน่นอนที่สุดจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจุดประกายความคิดและสร้างสุนทรียะทางศิลปะที่ดีในสังคม”

ด้าน สุภาวดี เจ๊ะหมวก นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย สาขา วรรณกรรม ประจำปี 2560 จากผลงาน ‘ฉันเป็น’ เผยถึงความรู้สึกที่ผลงานได้รับการนำมาจัดแสดงในครั้งนี้ว่า “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทยเป็นโครงการที่ดีเยี่ยม เป็นเวทีที่สนับสนุนเยาวชนในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งในประเทศไทยไม่ค่อยมีโครงการแบบนี้เกิดขึ้น และที่สำคัญยังเป็นเวทีที่ครอบคลุมศาสตร์แห่งศิลปะหลากหลายด้าน นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่แห่งโอกาสให้กับเยาวชนได้เดินตามความฝันในการแสดงศักยภาพด้านศิลปะ อีกทั้งยังจัดแสดงผลงานให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า และสัญจรมาจัดแสดงยังหอศิลปะการแสดงนครลำปาง บ้านบริบูรณ์ นับเป็นเกียรติ

ประวัติของชีวิตในการเริ่มต้นเป็นศิลปิน ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่ให้การสนับสนุนให้เด็กหัวศิลป์อย่างเรามีที่ยืนอย่างสง่างามในสังคม”

ผู้สนใจสามารถเข้าชมผลงานที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ของยุวศิลปินไทยเลือดใหม่แห่งวงการศิลปะผ่านการจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย Young Thai Artist Award สัญจร ครั้งที่ 1 แสดงศิลป์ จะอั้น จะอี้ จะอาร์ต ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ เวลา 18.00-21.00 น. (เปิดทำการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์) ณ หอศิลปะและการแสดงนครลำปาง บ้านบริบูรณ์ จ. ลำปาง

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกกำลังจิตอาสา สร้างอาคารเรียนหลังที่ 34 มอบโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร บ้านคำครึ่ง

เป็นเวลา 30 กว่าปีแล้วที่มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมกับเพื่อนพนักงานเอสซีจีทั้งชายและหญิง เสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์ และวันหยุดพักผ่อนประจำปีออกเดินทางไปทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในรูปแบบโครงการค่ายอาสาพัฒนาเอสซีจี โดยก่อสร้างอาคารเรียนให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารปีละหนึ่งหลัง เพื่อเป็นเป็นแหล่งเรียนรู้ในการวางรากฐานด้านปัญญาให้กับเยาวชน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจี และการอนุเคราะห์วัสดุก่อสร้างจากบริษัทในเครือเอสซีจี

ในปีนี้ มีพนักงานเอสซีจีและสมาชิกในครอบครัว เสริมทัพด้วยจิตอาสาของน้องฝีมือชน คนสร้างชาติจากวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ และวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่นรวมกันแล้วกว่า 550 ชีวิต ร่วมเดินทางไปก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 34 และห้องน้ำ ณ โรงเรียนบ้านคำครึ่ง ต.หัวนาคำ อ. กระนวน จ. ขอนแก่น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน และครูอาจารย์ในพื้นที่ที่ระดมแรงกายแรงใจมาช่วยงานก่อสร้าง ประกอบอาหาร เด็กนักเรียนมาช่วยบริการน้ำดื่ม ไม่เพียงเท่านี้ยังได้รับน้ำใจจากรั้วของชาติ ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายศรีพัชรินทร มาช่วยเสริมแรง คนละไม้คนละมือร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนชั้นเดียว ขนาด 7X36 เมตร จำนวน 4 ห้องเรียน และ ห้องน้ำ 1 หลัง จำนวน 6 ห้อง ภายในระยะเวลาเพียง 9 วัน (ไม่รวมระยะเวลาการก่อสร้างวางฐานราก) หวังให้อาคารหลังนี้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียน ขยายโอกาส และพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษาให้แก่น้องๆ เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร

ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวในวันมอบอาคารเรียนว่า “มูลนิธิเอสซีจี เล็งเห็นว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีที่เรียนที่เอื้อต่อการศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เด็กๆ เติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ที่ผ่านมามูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีส่งมอบอาคารเรียนให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ทางการศึกษาของเด็ก และเยาวชน โดยได้สร้างและมอบอาคารเรียนไปแล้ว 33 หลัง ห้องน้ำ 8 หลัง สถานพยาบาล 2 หลัง และถังเก็บน้ำฝน 2 ถัง โดยในปี 2558 นี้ได้สร้างอาคารเรียน และห้องน้ำด้วยงบประมาณ 4 ล้านบาท ให้แก่โรงเรียนบ้านคำครึ่ง ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังที่ 34 ”

กว่าจะสำเร็จเป็นอาคารเรียนหลังใหม่ที่สวยงามพร้อมให้เด็กๆ บ้านคำครึ่งได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนนั้น เบื้องหลังชาวค่ายทุกคนต้องทำงานท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุ สลับกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความมุ่งมั่นของจิตอาสาที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทำงานกันอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำเปลี่ยนพื้นที่รกร้างจากกองดินเป็นอาคารเรียนจนเสร็จสมบูรณ์

น้องวาว ชัชวาล ร่มไตรรัตน์ พนักงานเอสซีจี ผู้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเป็นปีแรกเปิดเผยว่า “รู้สึกได้ถึงความสุขของการได้ทำประโยชน์เพื่อสังคม ปกติในชีวิตประจำวันเราก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นมากนัก การทำงานหรือไปเที่ยวกินเล่นก็เพื่อความสุขของตัวเอง แต่การได้มาทำประโยชน์เพื่อตอบแทนสังคมอย่างการร่วมออกค่ายก่อสร้างอาคารเรียนถือว่าได้ช่วยให้น้องๆ บ้านคำครึ่งได้มีสถานที่เรียนเพียงพอเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้นให้กับอนาคตของชาติ”

ด้านน้องกระแต กมลวรรณ จอมแก้ว พนักงานเอสซีจีน้องใหม่หัวใจอาสาที่มาร่วมออกค่ายเป็นปีแรกเช่นกันเปิดเผยประสบการณ์การเป็นผู้ให้ว่า “งานหลักๆ ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และลงมือทำกับพี่ๆ ชาวค่าย คืองานโป๊วสี ตั้งแต่กำแพง จนถึงหัวตะปูตามเสา ต้องบอกว่าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลย โชคดีที่ได้คำแนะนำที่ดีสอนเทคนิคการโป๊วสีจากพี่ๆ ชาวค่าย ตอนทำก็เหนื่อยมากแต่พอเห็นอาคารเรียนสร้างเสร็จ เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ และทุกคนในชุมชน ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการก่อสร้างสถานที่บ่มเพาะความรู้ให้แก่เยาวชนในถิ่นทุรกันดารในครั้งนี้”

เช่นเดียวกับน้องแซ็ค เนธิพงษ์ พลตรี นักเรียนทุนฝีมือชน คนสร้างชาติ โดย มูลนิธิเอสซีจี ที่อาสามาร่วมค่ายในครั้งนี้ได้กล่าวเสริมว่า “ผมภูมิใจมากที่ได้นำความรู้เทคนิคทางช่างที่ได้ร่ำเรียนมาร่วมก่อสร้างอาคารเรียนครั้งนี้ การมาออกค่ายทำให้ผมได้ลงมือปฏิบัติงานจริงๆ แถมยังได้เกร็ดความรู้ฝีมือช่างที่ไม่มีในตำราเรียนอีก แม้จะเหน็ดเหนื่อยร่างกายแต่ก็มีความสุขใจที่ได้ทำ และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กช่างน้ำดียังมีอยู่ในสังคมไทย”

ทั้งนี้ทางมูลนิธิฯ ยังมอบชุดครุภัณฑ์ ชั้นหนังสือ อุปกรณ์กีฬาให้กับทางโรงเรียน และร่วมกับบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด มอบสนามเด็กเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีทางด้านร่างกาย บริษัทเอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) มอบศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่โรงเรียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้นำนักเตะชื่อดัง อาทิ สารัช อยู่เย็น กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นาโออากิ อาโอยามะ และสต๊าฟโค้ชสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ เดินทางมาเปิดคลินิกฝึกสอนเทคนิคการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐานให้น้องๆ เพื่อปลูกฝังความรักในการกีฬา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ

ขณะที่เด็กหญิงอังกอร์ มูลสมบัติ นักเรียนโรงเรียนบ้านคำครึ่งพูดถึงความรู้สึกประทับใจว่า “หนูมาโรงเรียนทุกวันช่วงก่อสร้าง มาช่วยเสิร์ฟน้ำให้พี่ๆ คนค่ายได้ดื่มกัน แทนคำว่าขอบคุณ ต้องบอกว่าดีใจมากค่ะที่ชุมชนเราได้รับโอกาสให้ได้มีอาคารเรียนสวยงามหลังนี้ มีโต๊ะเรียนใหม่ หนังสือใหม่ อุปกรณ์กีฬา และยังได้เจอนักฟุตบอลชื่อดังอีกด้วย ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจี และพี่ๆ จิตอาสาทุกคนที่เห็นความสำคัญเรื่องการศึกษาของเด็กต่างจังหวัดอย่างพวกหนู ทำให้พวกเรามีอาคารเรียน และห้องน้ำที่เพียงพอ ขอขอบคุณค่ะ”

การให้โอกาสทางการศึกษา ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นการลงทุนทางปัญญาที่คุ้มค่าที่สุด มูลนิธิเอสซีจีจึงดำเนินการสร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน ด้วยมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเห็นเด็กๆ เติบโตเป็น “คนเก่งและดี” ในวันหน้าเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของชุมชม สังคม และประเทศในอนาคตต่อไป เพราะมูลนิธิเอสซีจีเชื่อมั่นในคุณค่าของคน