กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมด้วย มูลนิธิเอสซีจี ต้อนรับเยาวชนทักษะฝีมืออันดับหนึ่งของโลกเดินทางกลับบ้าน

คุณบุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ต้อนรับคณะเยาวชนไทยที่เดินทางกลับจากการแข่งขันทักษะฝีมือแรงงานนานาชาติ WorldSkills Lyon 2024 จากสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งทางมูลนิธิเอสซีจี ได้ร่วมสนับสนุนเยาวชนไปแข่งขันฝีมือแรงงานระดับนานาชาติ 3 สาขา ได้แก่ นางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์ ผู้คว้าเหรียญทอง (Gold Medal) เหรียญเดียวของไทยปีนี้ จากการแข่งขันในสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย (Health and Social Care) และรางวัล Best of Nation หลังจากทำคะแนนรวมได้เป็นลำดับที่ 1 ของโลกจาก 19 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน นางสาวกนกวรรณ อินทะ ได้รับรางวัลเหรียญฝีมือยอดเยี่ยม จากสาขาการประกอบอาหาร และ นายธนกร ช่วงรัตนาวรรณ จากสาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม ได้รับรางวัลเหรียญความทุ่มเทเสียสละ จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดส่งผู้แทนเยาวชนไทยไปร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติมาตั้งแต่ปี 2536 โดยในปีนี้ ได้จัดส่งเยาวชนไปร่วมแข่งขัน 19 ทักษะฝีมือ รวมทั้งสิ้น 22 คน สำหรับมูลนิธิเอสซีจี นอกจากการมอบทุนการศึกษาต่อเนื่องจนจบปริญญาตรี โดยไม่มีภาระผูกพันแก่เยาวชนที่เป็นตัวแทนในสาขาที่ให้การสนับสนุนแล้ว ยังได้ให้การสนับสนุนการแข่งขันในสาขาต่าง ๆ ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันได้สนับสนุนไปแล้วกว่า 15,000,000 บาท

เยาวชนไทยคว้าเหรียญทอง WorldSkills เหรียญแรกในประวัติศาสตร์ไทย สาขา Health and Social Care ทำคะแนนนำลิ่วที่ 1 ของโลก

มูลนิธิเอสซีจี มุ่งมั่นสนับสนุนเยาวชนไทยในการพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในสายอาชีพ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ได้ร่วมสนับสนุนการแข่งขันฝีมือแรงงานระดับนานาชาติ 3 สาขา คือสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย สาขาการประกอบอาหาร และสาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม โดยทางกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดส่งผู้แทนเยาวชนไทยจำนวนทั้งสิ้น 22 คนไปร่วมแข่งขันทักษะฝีมือแรงงานนานาชาติ 19 ทักษะฝีมือในการแข่งขัน WorldSkills Lyon 2024 ณ เมืองลียง สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10-15 กันยายน ที่ผ่านมานั้น ผลปรากฎว่า นางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์  หรือน้องแก้ม พยาบาลวิชาชีพจากโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เข้าแข่งขันในสาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย (Health and Social Care) สามารถคว้ารางวัลเหรียญทอง (Gold Medal) เหรียญเดียวของไทยปีนี้ และรางวัล Best of Nation หลังจากทำคะแนนรวมได้เป็นลำดับที่ 1 ของโลกจาก 19 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขัน

พร้อมกันนี้ นางสาวกนกวรรณ อินทะ นักศึกษาชั้นปี 3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี ผู้เข้าแข่งขันสาขาการประกอบอาหาร ยังได้รับรางวัลเหรียญฝีมือยอดเยี่ยมจากการแข่งขัน WorldSkills Lyon 2024 และ นายธนกร ช่วงรัตนาวรรณ นักศึกษาชั้นปี 2 วิทยาลัยดุสิตธานี ผู้เข้าแข่งขันสาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม ได้รับรางวัลเหรียญความทุ่มเทเสียสละ จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งทั้งหมดนี้คือความภูมิใจของมูลนิธิเอสซีจี และประเทศไทย

นอกจากที่ มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนเยาวชนทั้ง 3 สาขา ในการเก็บตัวฝึกซ้อม ดูแลจิตใจของน้องๆ โดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมมอบทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี มูลค่ารวม 3,300,000 บาท ไปแล้วนั้น ยังมีการพิจารณาจัดมอบเงินรางวัลพิเศษ จำนวน 100,000 บาท แก่ผู้ที่ได้รับเหรียญทอง เงินรางวัลจำนวน 30,000 บาท แก่ผู้ได้รับเหรียญฝีมือยอดเยี่ยม และเงินจำนวน 10,000 บาท แก่ผู้ที่ได้รับเหรียญความทุ่มเทเสียสละ กลับมาในครั้งนี้อีกด้วย

นอกจากการสนับสนุนทุนการศึกษาและการเรียนรู้ให้แก่เด็กและเยาวชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมแล้ว มูลนิธิเอสซีจี ยังมุ่งสร้างโอกาสและมุ่งแสวงหาเวทีให้เด็กและเยาวชนไทยได้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นทักษะเชิง Hard Skill หรือ Soft Skill ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการสั่งสมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ตามแนวคิด LEARN TO EARN เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด นำมาพัฒนาทักษะของตนเองให้ดียิ่งขึ้นเพื่อต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในสายวิชาชีพต่อไป

“มูลนิธิเอสซีจี” ตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ เดินหน้าสนับสนุนการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ

มูลนิธิเอสซีจีเดินหน้าสนับสนุนเยาวชนไทยในการพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในสายอาชีพ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม จับมือกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมสนับสนุนการแข่งขันฝีมือแรงงานระดับนานาชาติ
ที่ประเทศฝรั่งเศส

ยุทธนา เจียมตระการ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “จากภารกิจหลักของมูลนิธิเอสซีจี ทีมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษา เน้นการเรียนรู้เพื่อมีงานทำตอบโจทย์ควารมต้องการของประเทศ  พร้อมสร้างโอกาสและมุ่งแสวงหาเวทีให้เด็กและเยาวชนไทยได้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นทักษะ Hard Skill (ทักษะวิชาชีพ) หรือ Soft Skill (ทักษะชีวิต) ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการสั่งสมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในสายวิชาชีพ ด้วยการสนับสนุน‘การแข่งขันฝีมือแรงงาน’ทั้งระดับอาเซียนและระดับนานาชาติ (World Skills Competition) แก่กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน มาตั้งแต่ปี 2560 อย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันทางมูลนิธิฯ ได้ให้การสนับสนุนไปแล้วกว่า 15,000,000 บาท”

สำหรับปี 2567 นี้ มูลนิธิเอสซีจี ได้ให้การสนับสนุนการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ (WorldSkills Lyon 2024) ครั้งที่ 47 ใน 3 สาขา ได้เก่

  • สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย – นางสาวอริยพร ลิ้มกมลทิพย์ ปัจจุบันเป็นพยาบาลวิชาชีพ จากโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
  • สาขาการประกอบอาหาร – นางสาวกนกวรรณ อินทะ นักศึกษาชั้นปี 3 วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี
  • สาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม – นายธนกร ช่วงรัตนาวรรณ นักศึกษาชั้นปี 2  วิทยาลัยดุสิตธานี 

ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 10-15 กันยายน 2567 นี้ ณ เมืองลียง สาธารณรัฐฝรั่งเศส  ซึ่งสนับสนุนทั้ง
การเก็บตัวฝึกซ้อม การเดินทางไปแข่งขันต่างประเทศ พร้อมทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี  มูลค่ารวม 3,000,000 บาท

โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการแข่งขันในประเทศ ระดับภาค และระดับประเทศ เพื่อคัดเลือกตัวแทนเยาวชนไปแข่งขันต่างประเทศ ทั้งในระดับอาเซียน ระดับเอเชีย และระดับ

นานาชาติ สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดส่งเยาวชนไปร่วมแข่งขันใน 6 กลุ่ม 19 ทักษะฝีมือ โดยมีเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 22 คน

“จากการที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา ทำให้ทุกคนไม่สามารถหยุดการเรียนรู้ได้ เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถ ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การได้มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันในเวทีระดับนานาชาติ  จะเป็นโอกาสดีของเยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ที่จะได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณาที่ได้รับ เพื่อนำมาพัฒนาทักษะของตนเองให้ดียิ่งขึ้น เป็นการ Learn to Earn ได้อย่างแท้จริง” ยุทธนา กล่าว

ติดตามความคืบหน้าของ Learn to Earn และติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org เฟซบุ๊ก LEARNtoEARN และ TIKTOK: LEARNtoEARN

#LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #รุ่นนี้ต้องรอด #มูลนิธิเอสซีจี

LEARN to EARN ชีวิต “รอด” ได้ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว “เพ็ญนภา สิงห์สนั่น” นักแต่งภาพร้านค้าออนไลน์ผู้พัฒนาทุกทักษะเพื่อพร้อมปรับตัวให้ทันกับทุกการเปลี่ยนแปลง

จากนักศึกษาที่ใช้ชีวิตอยู่แต่กับเรื่องการเรียน เมื่อวันหนึ่งสถานะทางการเงินของครอบครัวเกิดมีปัญหา ทำให้ต้องหาเงินส่งตัวเองเรียนต่อเพื่อไม่เป็นภาระของครอบครัว ด้วยการเข้าสู่วงการอาชีพแม่ค้าออนไลน์ แม้จะไม่ได้ทำให้ก้าวไปถึงฝั่งฝันเหมือนใครหลายๆ คน บนเส้นทางธุรกิจขายของออนไลน์ แต่การได้เข้ามาสัมผัสกลับทำให้ได้มีโอกาสค้นพบตัวตน และความสามารถนั้นได้กลายมาเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำจนถึงทุกวันนี้

เพ็ญนภาสิงห์สนั่น หรือ โมเม เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง Best Survivors Award ของมูลนิธิเอสซีจี ซึ่งขณะรับรางวัลนั้น โมเมเป็นนักศึกษาคณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง เธอได้ใช้ความสามารถมาเป็นอาชีพ และพัฒนาทักษะให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เป็นการปรับตัวเพื่อที่จะ “อยู่รอด” ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สอดรับกับแนวคิด  “LEARN to EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอดของมูลนิธิเอสซีจีที่สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่รู้จักตัวตนของตนเองได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองถนัดพร้อมฝึกฝนต่อยอดทักษะไปอย่างไม่รู้จบ

“ตอนช่วงเรียนปี 2 ที่บ้านได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด รายได้ที่เคยมีก็ลดลง การส่งให้เมเรียนกลายเป็นภาระที่หนัก เพื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว เลยตัดสินใจลองฝึกเป็นแม่ค้าออนไลน์ตามเพื่อนสนิท ซึ่งได้กำลังใจที่ดีจากครอบครัวที่พร้อมสนับสนุนทุกการเติบโตในทุกด้านที่ต้องการจะทำ เมได้ใช้ความสามารถแต่งรูปภาพเพื่อทำโปรโมทสินค้า ของก็ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่กลับมีคนขายของด้วยกันสนใจภาพโปรโมทสินค้าเลยมาจ้างเมทำให้ ตอนนั้นคิดราคาไปค่อนข้างถูก มีลูกค้ามาใช้บริการเรื่อยๆ แต่ก็มีข้อจำกัดในการรับงาน เพราะทำในมือถือรุ่นเก่าวันนึงทำได้ไม่มาก มีรายได้ประมาณวันละร้อยกว่าบาท จนเมได้ไปศึกษาการตลาดของกลุ่มงานกราฟิก ได้เห็นราคากลางของการรับงานแบบนี้จึงปรับราคาของตัวเองขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับราคากลาง ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และตัดสินใจซื้อไอแพดมาใช้ ทำให้งานเสร็จไวกว่าทำในมือถือ รับงานได้มากขึ้น รายได้ก็มากขึ้นกว่าเดิม จากวันละหลักร้อยเป็นหลักพัน ส่วนงานขายของก็ต้องหยุดไปเพราะงานแต่งภาพมีมากจนไม่เหลือเวลาพอที่จะทำคลิปรีวิวสินค้า”

หลังจากค้นพบเส้นทาง “รอด” ในแบบฉบับของตัวเอง โมเมตัดสินใจต่อยอดด้วยการพัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเองกับอาชีพนี้ให้มากขึ้น โดยลงทุนเข้าคอร์สออนไลน์เรียนการทำป้าย ADS ที่ทำให้สามารถมีรายได้เพิ่มมากขึ้นถึงหลักหมื่นในแต่ละเดือน ทำให้นอกจากสามารถหาเงินใช้จ่ายระหว่างเรียน โดยไม่ต้องขอเงินจากทางบ้านได้แล้ว ยังมีเงินมากพอที่จะพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดในช่วงที่ปิดเทอมได้อีกด้วย

โมเมไม่ได้หยุดแต่เพียงแค่นี้ เธอศึกษาการถ่ายภาพสินค้า เพื่อพัฒนาทักษะงานแต่งภาพจากภาพนิ่งไปสู่ภาพเคลื่อนไหว ลงทุนซื้ออุปกรณ์ด้านการถ่ายภาพเพื่อจัดทำสตูดิโอถ่ายภาพที่บ้าน เตรียมพร้อมรับงานอย่างจริงจัง แล้วในที่สุดก็มีโอกาสได้งานดูแลช่อง TikTok ของบริษัทขายของแห่งหนึ่ง แต่การเรียนรู้ก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะวางแผนไว้ว่าจะหาโอกาสเรียนตัดต่อคลิปและเทคนิคขั้นสูงของการถ่ายวิดีโอเพิ่มเติม รวมถึงการหาความรู้เรื่องการตลาดของสื่อออนไลน์ โมเมเล่าว่าการที่ต้องช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว จึงต้องสนใจที่จะพัฒนาทักษะชีวิต Soft Skill ทั้งเริ่มจากมีความกล้าที่จะลงมือทำ  นำเรื่องราวความสำเร็จของคนอื่นมาใช้เป็นแรงบันดาลใจ รวมถึงการมองหาอาชีพอื่นๆ เพิ่มเติมจากความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ที่จะทำให้เรามีรายได้จากหลายทาง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพัฒนาทักษะวิชาชีพ Hard Skill อยู่ตลอด ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ทั้งในสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้ต่อยอดจากความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ดูได้จากที่ตัวเธอยังต้องหาเวลาไปลงเรียนคอร์สต่างๆ เพื่อเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ และพัฒนาฝีมืออยู่ตลอดเวลา เพราะเธอเชื่อว่าหากมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นจะทำให้ชีวิตของตัวเธอมีทางเลือกใหม่ๆ ในอนาคตเพิ่มมากขึ้นด้วย

การไม่หยุดการเรียนรู้หรือ Lifelong Learning จะช่วยให้สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับชีวิตได้จริง ไม่ว่าจะหาตัวตนพบแล้วหรือยังไม่พบก็ไม่ควรหยุดการเรียนรู้ คนที่ยังหาตัวตนไม่พบ การเรียนรู้จะช่วยเปิดประสบการณ์และทำให้การค้นหาตัวตนไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนคนที่ค้นหาตัวตนพบแล้ว การเรียนรู้คือการต่อยอดความรู้ความสามารถให้พัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้น อย่างของตัวโมเมเองที่แม้ว่าจะค้นพบตัวตนแล้ว ก็ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้เพิ่มทักษะในงานในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากความสามารถเดิมที่มีอยู่ ทำให้ได้ทั้งงานใหม่เพิ่ม และยังสามารถปรับขึ้นราคาชิ้นงานตามทักษะฝีมือที่พัฒนาเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นไปตามหลักกลไกการตลาดนั่นเอง 

“การเริ่มต้นค้นหาตัวเองเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน แม้แต่กับตัวเมเองที่พบว่า ตัวเองไม่ได้ถนัดในสิ่งที่เลือกไว้แต่แรกจริงๆ แล้วอะไรที่จะทำให้เราค้นพบตัวเองนั่นคือการเรียนรู้ หาประสบการณ์ นอกเหนือจากสิ่งที่เราทำอยู่ เมอยากบอกเพื่อนๆ ทุกคนว่าลองออกมาจาก safe zone ออกมาค้นหาตัวเอง เชื่อว่าประสบการณ์ที่จะได้รับมันคุ้มค่า อย่ากลัวที่จะเรียนรู้ อย่ากลัวที่จะเจอปัญหาหรือความผิดพลาด เพราะความผิดพลาดจะทำให้เราหาเหตุผลในการเรียนรู้ได้ดีที่สุด ตัวเมเองก็เริ่มมาจากต้องการจะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว แม้ว่าจะมีลู่ทางในการหารายได้ได้แล้ว แต่เมก็ยังมีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาและต่อยอดทักษะที่มีอยู่ตลอดเวลา เพราะเมเชื่อว่าหากเรามีความรู้ความสามารถมากขึ้น เราก็จะทำรายได้มากขึ้นด้วย ส่วนอาชีพและการหารายได้นั้น เมตั้งใจและตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะไม่ทำแค่อาชีพเดียว และจะไม่มีรายได้แค่ทางเดียว เมอยากจะลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่ตอนนี้ยังศึกษาหาข้อมูลอยู่” โมเม กล่าวทิ้งท้าย 

มูลนิธิเอสซีจียังคงเดินหน้าขยายแนวคิด LEARN to EARN เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้มี Mindset การเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมพัฒนาทั้งทักษะวิชาชีพ Hard skills และทักษะชีวิต Soft skills โดยมี 3 Skill Set สำคัญ ได้แก่ 1. ทักษะการสื่อสาร และทักษะด้านภาษา 2. ทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่น 3. ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ อ้างอิงจากผลการศึกษาจาก TDRI และผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่าง ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดจนเกิดเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน นั่นคือการอยู่รอดจากการเรียนรู้อย่างแท้จริง ติดตามความคืบหน้าของ LEARN to EARN  และติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org เฟซบุ๊ก LEARNtoEARN และ TIKTOK: LEARNtoEARN

 #LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #มูลนิธิเอสซีจี

“มูลนิธิเอสซีจี” ผนึกพลังเครือข่าย เติมทักษะเรียนรู้ เพื่ออยู่รอด Learn to Earn ตอบโจทย์ชีวิตให้อยู่รอด อย่างยั่งยืน และมีความสุข

วันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ณ ซีดีซี บอลรูม คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) มูลนิธิเอสซีจี หรือ SCGF สร้างแรงขับเคลื่อนสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดอย่างต่อเนื่อง กับงานทอล์ก “Learn to Earn Talk ปลุกพลัง สร้าง Mindset เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด” ที่ปีนี้ได้เชิญพาร์ทเนอร์สำคัญไม่ว่าจะเป็นฝั่งภาครัฐอย่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และวิทยาการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และฝั่งสื่ออย่าง บริษัท เดอะ สแตนดาร์ด จำกัด ร่วมเสวนาในหัวข้อ ‘Empowering Learn to Earn Mindset’

นอกจากนี้ยังเปิดเซสชั่นแลกเปลี่ยนแนวคิด ‘Never-Ending Learning’ สร้างแรงบันดาลใจเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่หยุดยั้ง กับสองพิธีกรชื่อดังอย่าง ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน และเปอร์ สุวิกรม อัมระนันท์

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี ได้กล่าวเปิดงานถึงความมุ่งมั่นของมูลนิธิเอสซีจีที่ดำเนินการมากว่า 60 ปี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสและอาชีพ ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาทั้งในและนอกระบบกว่า 100,000 ทุน หรือ 3,000 ทุนต่อปี สนับสนุนไปแล้วกว่า 1 พันล้านบาท

“ทางมูลนิธิฯ พบว่านักเรียนทุนที่จบมา ตกงาน ไม่ตรงกับที่ตลาดต้องการ เราจึงเน้นทุนระยะสั้น เรียนเร็ว จบเร็ว มีงานทำทันที ภายใต้แนวคิด LEARN to EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด โดยกว่า 7,000 ทุน ได้งานทำกว่า 90% ทั้งนี้ยังมี Skill Set ที่สำคัญที่นำไปสู่การ Earn จากการ Learn คือ 3 ทักษะ คือ ทักษะการสื่อสารและภาษา ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ จึงได้จัด Empowering Learn to Earn Mindset ตอกย้ำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ สามารถนำไปปฏิบัติ สร้างโอกาส สร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้” ธรรมศักดิ์ กล่าว

ด้านเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ ‘Empowering Learn to Earn Mindset’

ปรเมศวร์ นิสากรเสน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง SCG ได้ฉายภาพความเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วมาก ทั้งสงคราม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี องค์กรอย่าง SCG จึงต้องปรับตัวองค์กรอย่างรวดเร็วโดยนำสิ่งนี้มากำหนดกลยุทธ์ในการพัฒนาบุคคลากรในองค์กร โดยเน้นทั้ง Hard Skill อย่าง Technology และ Marketing หรือ Soft Skill ไม่ว่าจะเป็นทีมเวิร์ก หรือทักษะการสื่อสาร และเน้นวิธีการเรียนรู้แบบ 70:20:10 Blended Learning Classroom & Workshop & Digital Learning ให้การเรียนรู้มาจากหลายมิติ

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการ บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด ได้กล่าวในมุมมองของสื่อ จากการทำงานสื่อตลอดมา ทำให้เห็นว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้าน AI และ Biotech สังคม Learn to Earn จะเกิดในสังคมไทยได้จะต้องปรับแนวคิดว่าการศึกษาในระบบไม่ใช่ศูนย์กลางการศึกษาอีกต่อไป สื่อมีส่วนช่วยในการส่งเสริมการศึกษาไม่ว่าจะเป็นผลิตสื่อที่ทั้งให้ความรู้และความบันเทิงไปพร้อมกันแบบ Edutainment ซึ่งเป็นสิ่งที่ เดอะ สแตนดาร์ด มุ่งมั่นสร้างมาตลอด รวมถึงทุกคนในสังคมมีส่วนร่วมในการสร้างแวดล้อมการเรียนรู้ได้ รวมถึงทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชนต้องจับมือร่วมกัน

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ฉายภาพว่า ประเทศไทยกำลังติดกับดักความยากจน และการศึกษาที่มีความเหลื่อมล้ำสูง และการศึกษาเป็นเพียงทางเลือกเดียว (single-track education) ซึ่งไม่ตอบโจทย์เทรนด์โลกปัจจุบัน กสศ. มีความพยายามที่จะสร้างการศึกษาที่มีหลายทางเลือก (multi-track education) ทั้งในและนอกระบบการศึกษา ในระบบ จะเป็นการสร้างหลักสูตรระยะสั้น (6 เดือน – 1 ปี) กับทางมหาวิทยาลัย เช่น หลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์ รวมถึงการศึกษานอกระบบที่ช่วยให้เด็กที่หลุดจากระบบได้ระบบการศึกษาผ่านการสร้างสัมมาชีพ เช่น การเข้าถึงป่าชุมชนที่สามารถสร้างงานและสินค้าพื้นที่ได้ ด้วยการฝึกฝนผู้คนในพื้นที่ให้ได้ทั้งวิชาและอาชีพ

รศ.ดร.ปรารถนา ใจผ่อง ผู้อำนวยการวิทยาลัยการศึกษาตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มุ่งสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยการสร้างหลักสูตรระยะสั้นที่ตอบโจทย์กระแสโลกได้ทันที รวมถึงการสร้างการเรียนรู้ให้แก่ผู้สูงอายุให้สามารถสร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนตนเฉลี่ย 3,000 บาทต่อเดือน

ในส่วนสุดท้ายเป็นเซสชั่นแห่งการแลกเปลี่ยนแนวคิดการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่งของสองพิธีกรดังอย่าง ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน และเปอร์ สุวิกรม อัมระนันท์ ใจความสำคัญของการแลกเปลี่ยนความคิดกันคือ การเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากสิ่งที่เราสนุกไปกับมันได้ในตอนเรียน และเมื่อเราเรียนรู้ไปถึงจุดหนึ่ง เราจะสามารถเข้าถึงโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์กลับคืนมา เป็นการ Learn จน Earn กลับมา

นับเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของทางมูลนิธิเอสซีจี ที่มุ่งมั่นส่งเสริมการศึกษาพร้อมผลักดันการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อสร้างโอกาสและคุณค่าให้กับผู้เรียนและสังคมได้ เพื่อให้สังคมไทยรู้จักเรียนรู้ เพื่ออยู่รอดได้ในกระแสโลกใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่ง

ขยายแนวคิด LEARN to EARN เสริมทักษะ บ่มเพาะนักพัฒนาชุมชนคนรุ่นใหม่ ให้มีความพร้อม เรียนรู้ เพื่ออยู่รอดได้ในชุมชน

มูลนิธิเอสซีจี จัดกิจกรรมงานปฐมนิเทศ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ให้กับต้นกล้าชุมชน 6-7 โดย มูลนิธิเอสซีจี

พร้อมด้วยพี่เลี้ยง โดยมี คุณยุทธนา เจียมตระการ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี  และคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี พร้อมทีมมูลนิธิฯ ให้การต้อนรับ  โดย คุณยุทธนาได้กล่าวทักทาย และเล่าถึงความสำคัญของแนวคิด LEARN To EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด

.

กิจกรรมประกอบไปด้วยการเติมความรู้ เสริมทักษะจากผู้เชียวชาญในด้านต่างๆ เช่น หัวข้อ“การสื่อสารงานพัฒนาชุมชนผ่าน Storytelling”  โดย รศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ ผู้รักษาการรองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิทยากรด้านการสื่อสารแถวหน้าของประเทศ และหัวข้อ “เรียนรู้จากผู้ประกอบการตัวจริงที่ประสบความสำเร็จ “โดย ธนิต พุ่มไสว ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ CEO เจ้าของแบรนด์ ภูษาผ้าลายอย่าง และคุณศิวกร เกษรราช ที่ปรึกษาการตลาดและสื่อสารองค์กร  ผู้อยู่เบื้องหลังความงามของผืนผ้าในละครดัง และเบื้องหลังความสง่างามของชุดไทยบนเวที Miss Universe Thailand มาถอดบทเรียนการเรียนรู้การทำธุรกิจด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จ และยังได้รับเกียรติจากพี่ๆ นักพัฒนาชุมชนที่มากด้วยประสบการณ์ อาทิ พี่นก ภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิอันดามัน พี่แฟ๊บ บุบผาทิพย์ แช่มนิล ผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา พี่สำรวย ผัดผล ประธานศูนย์การเรียนรู้โจ้โก้ และต้นกล้าเคม ณัชพล พรมคำ ต้นกล้าชุมชนรุ่นที่ 3 ร่วมให้คำแนะนำการดำเนินโครงการแก่น้องๆ อย่างรอบด้าน เพื่อเสริมทักษะด้านการสื่อสาร การสร้างแบรนด์ การตลาดและการดำเนินโครงการ เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาตนเอง ต่อยอดผลิตภัณฑ์ และเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ

ปิดท้ายกิจกรรมด้วยการให้ Commitment จากต้นกล้าชุมชนว่าหลังจากนี้เป็นเวลา 1 ปี พวกเขาจะทุ่มเททำงาน เรียนรู้ อยู่ร่วม และอยู่รอดได้ในชุมชน พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างโอกาสที่ดีให้ชุมชนต่อไป มูลนิธิฯ ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ต้นกล้าชุมชนทุกคนได้กลับไปหยั่งรากและเติบโตอย่างงดงามในบ้านเกิดของตนเอง และผลิดอก ออกผล เป็นไม้ใหญ่ที่ยังประโยชน์ให้ชุมชนต่อไป

LEARN TO EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด เป็นแนวคิดที่มูลนิธิเอสซีจีเชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าและศักยภาพในตัวเองสามารถเผชิญโลกที่เปลี่ยนแปลง โดยใช้การเรียนรู้ตลอดชีวิตนำทางเพื่ออยู่รอดอย่างยั่งยืน มุ่งจุดประกายให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ตลอดจนสังคมได้ เรียนรู้ ปรับตัว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันรูปแบบการศึกษาได้เปลี่ยนไป เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งการเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่คือการเรียนรู้แบบ Active learning ทั้งทักษะวิชาชีพ (Hard skills) และทักษะด้านอารมณ์ และการเข้าสังคม (Soft skills) หรือที่เรียกว่า ‘ทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21’ (Power Skill) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามพันธกิจหลักของมูลนิธิฯ ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้าง ‘คน’ ให้เติบโตเป็นคน ‘เก่ง และ ‘ดี’ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ขับเคลื่อนแนวคิด Learn to Earn โดยเริ่มจากสนับสนุนทุนการศึกษา และพัฒนาศักยภาพเยาวชน รวมทั้งให้โอกาสเยาวชนได้สร้างอาชีพให้กับตนเองและชุมชนของตน เพื่อเรียนรู้เพื่ออยู่รอดได้ชุมชนอย่างยั่งยืนตามแนวคิด LEARN to EARN

#มูลนิธิเอสซีจี #LEARNtoEARN #ต้นกล้าชุมชน #เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

“มูลนิธิเอสซีจี” เร่งเดินหน้าขยายแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สร้าง Mindset การเรียนรู้ตลอดชีวิต เน้นคนทุกเจน-ทุกวัย

“มูลนิธิเอสซีจี” เดินหน้าขยายแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” เป็นปีที่ 3 หลังได้รับการตอบรับด้วยดี พร้อมเดินหน้าเตรียมจัดเสวนาใหญ่ หวังดันแนวคิดสู่คนทุกเจน-ทุกวัย ให้ทุกคนได้เข้าใจและให้ความสำคัญกับ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” และสามารถนำความรู้ที่มีไปต่อยอดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการ มูลนิธิเอสซีจี เปิดเผยถึงแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” ว่า จากการจุดประกายแนวคิดกับหลายภาคส่วนจนได้รับการผลักดันให้เป็นนโยบายสำคัญของทุกกระทรวงที่จะมีการเน้นย้ำถึงการพัฒนาศักยภาพของทุนมนุษย์ในทุกมิติ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อเติมทักษะต่างๆ ให้กับคนทุกวัย ในมุมของมูลนิธิฯ เรามุ่งเน้นการสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อการมีอาชีพ ตอบโจทย์ตลาดมีสัมมาชีพเลี้ยงดูตัวเองได้ พร้อมพัฒนาศักยภาพให้กับนักเรียนทุน ตลอดจนเดินหน้าขยายแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม เพื่อผลักดันให้การร่วมมือครั้งสำคัญของทุกภาคส่วนนี้ เป็นทางออกของประเทศไทยในการปรับตัวให้ก้าวทันโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีนี้ มูลนิธิฯ เตรียมจัดงาน “Learn to Earn Talk เจนใหม่ ไม่หยุด Learn” ในวันที่ 12 กรกฎาคม นี้ ที่ Crystal design center โดยกลุ่มเป้าหมายจะครอบคลุมลงมาถึงกลุ่มคนที่เป็นภาคีเครือข่าย KOL ของแต่ละภาคส่วน ที่สามารถลงมือทำให้เห็นผลได้จริง ในการเรียนรู้ในมุมของตัวเอง ช่วยให้ภาครัฐ เอกชน การศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง ได้เห็นแนวคิดอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง  เพราะไม่ว่าจะเป็นคนเจนไหนวัยไหนก็จำเป็นต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาในการเพิ่มพูนทั้งทักษะวิชาชีพ (Hard skill) และทักษะชีวิต (Soft skill) เพื่อนำมาปรับใช้ในแต่ละสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ เป็นการเสริมและลับคมทักษะเพื่อให้อยู่รอดได้ในโลกยุคปัจจุบัน ที่มีบริบทแตกต่างไปจากโลกในอดีตอย่างสิ้นเชิง

สำหรับการจัดงาน Learn to Earn Talk นี้ จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Empowering Learn to Earn Mindset ปลุกพลัง สร้างมายด์เซต ‘เรียนรู้เพื่ออยู่รอด’  ที่จะมาร่วมกันสร้าง Mindset “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” ให้เกิดขึ้นในคนรุ่นใหม่อย่างไร และทำอย่างไรที่จะขยายแนวคิดนี้ไปสู่สังคมโดยรวม โดยมีวิทยากรจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ Lifelong Education มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นตัวแทนจากภาครัฐ นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ CEO of The Standard ตัวแทนภาคสื่อมวลชน ผู้แทนจาก SCG ตัวแทนจากภาคเอกชน มาร่วมพูดคุยถึงความท้าทายในโลกอนาคตที่เด็กยุคนี้และยุคต่อๆ ไปต้องเผชิญ / ทำไมต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เพื่ออยู่รอด / ฝั่ง Demand ปรับตัวอย่างไรเพื่ออยู่รอด และฝั่ง Supply ปรับทักษะอย่างไรให้รอด / วิธีสร้าง Mindset เรียนรู้เพื่ออยู่รอดให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ / สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดต้องเริ่มอย่างไร พร้อมช่วงพิเศษร่วมพูดคุยกับ เปอร์สเปกทีฟ สุวิกรม อัมระนันทน์ พิธีกร นักสัมภาษณ์ และนักเรียนรู้ ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จะมาบอกเล่าถึงการออกแบบความคิดให้ชีวิตไม่หยุด Learn การฝึกฝนวิธีคิดให้ตัวเองเป็นคนชอบเรียนรู้ พร้อมแชร์แนวทางในการวางแผนอนาคตเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในโลกที่การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ดำเนินการเสวนาโดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน และกล่าวเปิดงานโดย นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ประธานกรรมการ มูลนิธิเอสซีจี

“เพราะการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยม หรือจำกัดที่อายุคนเรียนอีกต่อไป แต่จะเป็นการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกยุค ทุกสมัย เป็น Lifelong Learning เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ผู้เรียนรู้สามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับนั้นมาพัฒนาตัวเอง เพื่อให้อยู่รอดได้ในโลกยุคปัจจุบัน Learn to Earn ปีที่ 3 นี้ จะขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมไปยังหน่วยงานในหลายๆ ภาคส่วนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้แนวคิดนี้ได้รับการเผยแพร่ออกไปในวงกว้างมากขึ้น นอกเหนือจากสถาบันการศึกษา ครู ผู้ปกครอง รวมถึงการมุ่งเน้นขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังคนทุกเจนทุกวัย เพราะทุกคนต้องมีความเสมอภาคในการเรียนรู้ที่ทำได้ตลอดชีวิต ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นใครหรืออายุเท่าไร ก็สามารถเรียนรู้เพื่ออยู่รอดได้ในโลกปัจจุบันและอนาคต สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ และพร้อมส่งต่อโอกาสให้กับคนอื่นๆ ในสังคมต่อไปได้” สุวิมล กล่าวสรุป

ติดตามความคืบหน้าของกิจกรรมโครงการ Learn to Earn ในปีที่ 3 และติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

#LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #มูลนิธิเอสซีจี

LEARN to EARN เพราะชีวิต คือการเรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด “สุรพรชัย ธรรมศิริ” ว่าที่นักกายอุปกรณ์ ที่ไม่หยุดพัฒนาตนเอง เพื่อช่วยเหลือผู้พิการ

เมื่อการเรียนรู้ไม่ได้ถูกจำกัดให้อยู่เพียงแค่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เรียกว่าห้องเรียนอีกต่อไป แต่เป็นการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา  หรือที่เรียกว่า Lifelong learning ที่จะทำให้ผู้เรียนรู้ นำประสบการณ์นั้นมาพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น เมื่อโอกาสเปิดให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันแล้ว ก็อยู่ที่แต่ละคนว่าจะค้นหาความเป็นตัวเองเพื่อจะไขว่คว้าหาความรู้เพื่อให้ตัวเอง “อยู่รอด” ได้ในโลกปัจจุบันที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วจนแทบจะตามกันไม่ทัน

เหมือนอย่าง สิงห์ – สุรพรชัย ธรรมศิริ เจ้าของรางวัล Best Survivors Award ของมูลนิธิเอสซีจี ที่ปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขากายอุปกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีความมุ่งมั่นอยากเติบโตเป็นนักกายอุปกรณ์ เพื่อจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้ดีขึ้น ซึ่งตลอดการเรียนรู้ของเขา ได้มีโอกาสทดลอง ค้นคว้า และฝึกฝนในหลายเรื่องที่ท้าทายความสามารถของตัวเขาเอง เสริมด้วยการเรียนรู้ทักษะการสื่อสาร ได้เรียนรู้ทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้พัฒนาทักษะทางด้านภาษาของตนเองผ่านการเรียนรู้ทั้งในและนอกชั้นเรียน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ “LEARN to EARN เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด” ของมูลนิธิเอสซีจี ที่สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่รู้จักตัวตนของตนเอง ได้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองถนัดและชื่นชอบมากที่สุด พร้อมฝึกฝนต่อยอดทักษะไม่รู้จบ

“ผมมองว่าการที่เรารู้จักตัวเองได้เร็วมากเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบคนอื่นมากเท่านั้น เพราะเราจะรู้ว่าตัวเองต้องพัฒนาทักษะด้านไหนเพิ่มเติม พัฒนาทั้งทักษะชีวิต Soft Skill และทักษะวิชาชีพ Hard Skill เพื่อเตรียมความพร้อมต่อโอกาสที่เข้ามาทุกเมื่อ เพราะที่ผ่าน ๆ มา ผมก็เคยสูญเสียโอกาสไปหลายครั้งเพียงเพราะว่าผมมองว่าผมยังไม่พร้อม แต่หลังจากที่ผมตั้งใจเรียนรู้และนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้มาพัฒนาทักษะทุกด้าน ทำให้ตอนนี้ผมพร้อมกับทุกโอกาสที่จะมีเข้ามา”   

พื้นเพของสิงห์เป็นคนจังหวัดฉะเชิงเทรา จบมัธยมปลายจากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จังหวัดชลบุรี ก่อนตัดสินใจมาศึกษาต่อในสาขาวิชากายอุปกรณ์ หลังจากค้นพบตัวตนว่า ต้องการเป็นนักกายอุปกรณ์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ ซึ่งเขาค้นพบตัวตนของตัวเองจากโอกาสการเข้าร่วมทำนวัตกรรมกับเพื่อนตอนสมัยเรียนมัธยม เป็นนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนากล้ามเนื้อของกลุ่มเด็กออทิสติกที่มีปัญหาเรื่องของกล้ามเนื้ออ่อนแรง จากการที่สิงห์ได้มีโอกาสนำนวัตกรรมชิ้นนี้ไปร่วมแข่งขันในหลาย ๆ เวทีได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ได้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่และใกล้ชิดกับผู้พิการมากขึ้น ได้เห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของต่างประเทศเห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้พิการสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้ จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะพัฒนาอุปกรณ์เช่นเดียวกัน เพราะจากการที่ได้ลองทำ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตนเอง  เกิดความชื่นชอบในสิ่งที่ทำ และรู้ว่าตนเองชอบที่ได้ทำอะไรแบบนี้ จึงตัดสินใจเลือกที่จะเข้าสู่เส้นทางสายอาชีพนักกายอุปกรณ์

“การตัดสินใจเลือกเรียนในสายนี้ ไม่เคยได้รับการต่อต้านจากครอบครัวครับ แต่ก็ยอมรับตามตรงว่าในตอนแรก พ่อแม่และตัวผมเอง รวมถึงหลายๆ คนที่ผมรู้จัก ไม่มีใครรู้จักอาชีพนักกายอุปกรณ์มาก่อน ไม่รู้ว่ามีหน้าที่ทำอะไร หน้าที่การงานจะมั่นคงไหม พ่อกับแม่มักจะถามผมหลาย ๆ ครั้งว่าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม ผมชอบจริง ๆ หรือเปล่า ซึ่งผมก็เลือกที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าทำไมผมถึงตัดสินใจมาเรียนสาขาวิชาชีพนี้ เพราะผมได้ศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ทั้งการเรียน หน้าที่การงาน รวมไปถึงโอกาสในการทำงานในอนาคต และที่สำคัญอาชีพนักกายอุปกรณ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เพื่อใช้ฟื้นฟูสุขภาพผู้พิการจากการมีอวัยวะผิดปกติหรือสูญเสียอวัยวะ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตร่วมกับคนปกติในสังคมได้ ถือเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงทั้งเส้นทางการเติบโตในอาชีพและรายได้ตอบแทน แล้วผมยังรู้มาอีกว่าอาชีพนักกายอุปกรณ์เป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน เพราะด้วยจำนวนของผู้พิการที่สูงขึ้น แต่มีนักกายอุปกรณ์ในประเทศอยู่จำนวนน้อย มันยิ่งทำให้ผมอยากประกอบอาชีพนี้ บวกกับผมรู้สึกว่ามันคือตัวตนของผม มันคือสิ่งที่ผมชอบและอยากทำ ผมเป็นคนที่ถ้าทำอะไรแล้วมีความสุข ผมจะทุ่มเทกับมันมาก ๆ เพื่อให้ทุก ๆ อย่างออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด”

สิงห์เล่าต่อว่า ได้คิดภาพตัวเองในอนาคตมาโดยตลอด จากความมุ่งมั่นที่อยากเป็นนักกายอุปกรณ์ที่สามารถทำได้ทั้งกายอุปกรณ์เสริม และกายอุปกรณ์เทียมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชีวิตผู้พิการ และอาชีพกายอุปกรณ์ให้เป็นที่รู้จักของคนในสังคม เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าอาชีพนักกายอุปกรณ์คืออะไร ทำอะไรบ้าง และมีความสำคัญอย่างไรกับผู้พิการและคนทั่วไป ซึ่งในปัจจุบันตนเองก็ได้มีโอกาสถ่ายทอดความเป็นนักกายอุปกรณ์ในหลาย ๆ ครั้งผ่านเวทีต่าง ๆ เพื่อเป้าหมายของการทำให้อาชีพนักกายอุปกรณ์เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากขึ้น และผู้พิการทุกคนจะต้องได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาอย่างเท่าเทียม  

จากการใช้เวลาคลุกคลีตามเวทีประกวดที่เกี่ยวกับนวัตกรรมสำหรับผู้พิการ ได้จุดประกายให้  สิงห์ ค้นพบตัวเองถึงความชอบและเป้าหมายชีวิตในอนาคต เมื่อก้าวมาสู่รั้วมหาวิทยาลัย เขาก็ยังมีผลงานเด่นๆ ทั้งการเป็นทูตเยาวชนโครงการทูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทย (Young Thai Science Ambassador: YTSA) รุ่นที่ 18  ที่มีโอกาสได้เล่าเรื่องราวของนักกายอุปกรณ์และความสำคัญของอาชีพนักกายอุปกรณ์ที่มีต่อผู้พิการในหัวข้อ วิทยาศาสตร์ สร้างโอกาสที่เท่าเทียมผ่าน Podcast การได้รับโอกาสให้เป็นตัวแทนของนักศึกษากายอุปกรณ์ขึ้นพูดเกี่ยวกับอนาคตของนักกายอุปกรณ์ ในกิจกรรม Ted talk ในงานกายอุปกรณ์ศิริราช เชื่อมใจใกล้ตัวเรา การได้รับรางวัลจากรายการ Gen will survive ของมูลนิธิเอสซีจี ที่ถ่ายทอดเรื่องราวตั้งแต่ก่อนมาเรียนอาชีพนักกายอุปกรณ์  ขณะนี้ สิงห์ ยังอยู่ระหว่างการรอผลการเข้าร่วมทีมในการพัฒนาบอร์ดเกมทางการศึกษาที่เกี่ยวกับกายอุปกรณ์ร่วมกับรุ่นพี่และอาจารย์เพื่อเตรียมเข้าแข่งขันในรายการ The 4th Global Educators Meeting :GEM ซึ่งเป็นงานประชุมทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของอาชีพนักกายอุปกรณ์ ซึ่งจะจัดขึ้น ณ สหรัฐอเมริกา  

นอกจากนี้ สิงห์ พร้อมด้วยเพื่อน ๆ และอาจารย์ในกลุ่มวิจัยในชั้นเรียนยังอยู่ในช่วงของการต่อยอดกับนวัตกรรมใหม่ นั่นคือการพัฒนาแผ่นรองเท้าสำหรับคนที่มีภาวะเท้าแบนทั้งคนพิการและคนปกติทั่วไป เป็นแผ่นรองเท้าที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาภาวะเท้าแบน โดยวัสดุที่นำมาใช้มีคุณสมบัติในการกระจายน้ำหนักและมีความคงทน ทำให้มีอายุการใช้งานที่นานกว่า จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้พิการได้

การไม่หยุดการเรียนรู้หรือ Lifelong Learning จะช่วยให้สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถให้กับชีวิตได้จริง เมื่อเรายังค้นหาตัวตนไม่เจอ ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรือถนัดด้านไหน ก็อาจจะต้องสร้างประสบการณ์เพื่อค้นหาความชอบหรือความถนัด เพราะความเป็นตัวตนจริงๆ จะมาจากความรักความชอบหรือความถนัดของตนเองไม่ใช่เกิดจากความคาดหวังของคนรอบข้าง เมื่อเราสามารถค้นหาตัวตนได้พบแล้ว เส้นทางต่อไปในชีวิตก็จะง่ายขึ้นเพราะเราจะสามารถพัฒนาหรือต่อยอดความรักความชอบหรือความถนัดของตัวตนได้ในที่สุด

“ผมรู้ครับว่าการรู้จักตัวเองเป็นเรื่องยากและเป็นสิ่งที่อาจจะต้องแลกกับอะไรหลายๆ อย่าง แต่จากประสบการณ์ของผม ผมว่ามันคุ้มที่จะค้นหาตัวเอง หากหมดหวังหรือได้รับความกดดันจากเรื่องต่างๆ รอบตัว ลองลดความคาดหวังที่เกิดจากสิ่งรอบข้างหรือคนรอบข้าง แล้วเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคาดหวังให้มาเป็นแรงผลักดันที่จะช่วยให้พัฒนาตนเองให้เป็นตัวเองในแบบของตัวเราเอง อย่ากลัวที่จะเรียนรู้ อย่ากลัวที่จะผิดพลาด เพราะทุกข้อผิดพลาดคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุดที่ทำให้เราพัฒนาตนเอง แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นเราที่ดีขึ้น และพร้อมที่จะรับมือต่อปัญหาต่าง ๆ และพร้อมรับกับโอกาสต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตในอนาคตได้” สิงห์ กล่าวทิ้งท้าย

มูลนิธิเอสซีจียังคงเดินหน้าส่งเสริมให้เยาวชนไทยเข้าใจในแนวคิด LEARN to EARN เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์การดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยการใช้ทักษะรอบตัวในการเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ รวมทั้งการนำความรักความชอบหรือความถนัดมาต่อยอดจนเกิดเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ นั่นคือการอยู่รอดจากการเรียนรู้อย่างแท้จริง ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ LEARN TO EARN  และมูลนิธิเอสซีจีได้ทาง www.scgfoundation.org เฟซบุ๊ก และ TIKTOK: LEARNtoEARN

#LEARNtoEARN #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจีเปิดเวทีแห่งโอกาสทางศิลปะ ขอเชิญชวนเยาวชนไทย ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2567 (ครั้งที่ 20) : Young Thai Artist Award 2024

มูลนิธิเอสซีจีเปิดเวทีแห่งโอกาสทางศิลปะ ขอเชิญชวนเยาวชนไทย ที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี ทั่วประเทศ ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2567 (ครั้งที่ 20) : Young Thai Artist Award 2024 ภายใต้ธีมการประกวด “Beloved Universe: บอกรักโลกด้วยศิลปะ ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลมูลค่ารวม 3,300,000 บาท โดยน้องๆ สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ถึง 6 สาขา ได้แก่ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี

น้องๆ เยาวชนไทยหัวใจศิลป์ที่สนใจปลดปล่อยพลังความสามารถด้านศิลปะอย่างสร้างสรรค์ สามารถสมัคร Online ได้แล้ว ที่ www.youngthaiartistaward.com  พร้อมปลดล็อคพรสวรรค์ รังสรรค์ศิลป์ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2567 * ยกเว้นสาขาวรรณกรรมปิดรับสมัครวันที่ 15 กรกฎาคม 2567

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัคร Online ได้ที่ www.youngthaiartistaward.com  

ติดตามความเคลื่อนไหวและสอบถามรายละเอียดได้ที่คลิก www.facebook.com/YoungThaiArtistAward และ www.instagram.com/youngthaiartistaward

มูลนิธิเอสซีจี เปิดรับสมัครคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพแบบ ‘จึ้ง’ และ ‘ทำถึง’ เป็น #ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 7

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญคนรุ่นใหม่ อายุไม่เกิน 35 ปีและมีหัวใจนักพัฒนา ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนให้กับบ้านเกิด เข้าร่วมโครงการ “ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 7”

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเป็น ‘ต้นกล้าชุมชน’ ต้องดำเนินโครงการตามที่ถนัดและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในชุมชน ภายใต้การดูแลและแนะนำจากพี่เลี้ยงที่เป็นนักพัฒนามืออาชีพในท้องถิ่น ตลอดจนเข้าร่วมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพตามที่มูลนิธิฯ กำหนด ตลอด 3 ปี เพื่อฝึกฝนพัฒนาความรู้ ความสามารถพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างงาน  สร้างอาชีพ พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และทุนทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป

เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ถึง 7 เมษายน 2567

ดูรายละเอียดและกรอกใบสมัคร ได้ที่➡️ https://forms.gle/UtkFJgqG8uCwc8DL7

ติดตามความเคลื่อนไหวโครงการได้ที่➡️ Facebook : การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดย มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกกำลัง กสศ. และมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น พัฒนา “ตัวแบบกองทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ” สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น จัดการประชุมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสรุปบทเรียนการดำเนินงาน โครงการพัฒนาตัวแบบกองทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ
ที่เชื่อมโยงกับโอกาสทางการศึกษาของเยาวชนและแรงงานนนอกระบบ
ภายใต้โครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเยาวชนและแรงงานนอกระบบ เพื่อผสานความร่วมมือในการขยายพื้นที่การทำงานของโครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างกองทุนอาชีพในชุมชน พร้อมหนุนเสริมการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่เยาวชนนอกระบบการศึกษา แรงงานงานนอกระบบ  และผู้ด้อยโอกาส

“Learn to Earn เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด” ผนึกกำลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อนเป็นวาระแห่งชาติ สร้างบุคลากรให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน ให้เยาวชน เรียนรู้ ปรับตัว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว

มูลนิธิเอสซีจีมุ่งลดความเหลื่อมล้ำด้วยการสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนมานานกว่า 60 ปี จนถึงปัจจุบัน ได้ให้ทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 100,000 โดยเน้นหลักสูตรการเรียนที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน ได้แก่ หลักสูตรด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ หลักสูตรด้านอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve หลักสูตรด้านเทคโนโลยี IT เป็นต้น พร้อมขยายแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมูลนิธิเอสซีจี ได้จัดงาน Learn to Earn : The Forum จุดประกาย และเปิดมุมมองใหม่ ให้เยาวชน ได้เรียนรู้ ปรับตัว เพิ่มทักษะความรู้ และทักษะชีวิต (Soft skill & Hard skill)  ให้สามารถอยู่รอดได้ในโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยได้ผนึกกำลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ได้รับเกียรติจาก 4 Key Drivers ของประเทศ มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองผ่านการเสวนาหัวข้อ “เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด” ผนึกกำลังชาติ เพื่ออนาคตไทย มุ่งให้ความสำคัญและเน้นการพัฒนาศักยภาพของคนในทุกมิติ และส่งเสริมให้เกิดการ เรียนรู้ตลอดชีวิต Lifelong learning  และร่วมผลักดันแนวคิดดังกล่าว ให้เกิดเป็นรูปธรรม และนำไปปฏิบัติจริงเพื่อให้เกิดผลอย่างยั่งยืน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล   ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเรื่องของ Digital Transformation และการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากสังคมผู้สูงวัย ทางรอดของไทยคือต้องปรับตัวเป็น High skills labor เป็นแรงงานที่มีทักษะขั้นสูง และเป็นที่ต้องการของตลาด พร้อมทั้งเติม innovation และ งานวิจัย ที่ใช้งานได้จริง ส่วนภาคอุตสาหกรรมไทยปัจจุบันได้ปรับตัวมุ่งไปสู่  Next GEN INDUSTRIES อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต รองรับการผลิต 3  กลุ่มคือ S curves และ New S curve ทักษะที่เป็นที่ต้องการสูงสุด 3 อันดับแรก คือ วิศวกรรม  ดิจิตอล และ data analytic

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล   ประธานกรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การแก้ปัญหาในเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนมีทั้งกลุ่มที่ยังอยู่ในระบบการศึกษาและที่ออกนอกระบบไปแล้ว กลุ่มที่ยังอยู่ในระบบการศึกษาพบว่าปัญหาปัจจุบันคือหลักสูตรที่เรียนรู้ไม่ตอบโจทย์ทักษะการทำงาน ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน ส่วนกลุ่มที่ออกนอกระบบการศึกษาไปแล้ว ควรหันมาพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อเพิ่มโอกาสการมีงานทำ ซึ่งตนเห็นด้วยกับการเรียนหลักสูตรอาชีพระยะสั้น ที่ใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี จบแล้วมีงานทำแน่นอน เช่น หลักสูตรผู้ช่วยทันตแพทย์ หรือผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นสายอาชีพที่ตลาดมีความต้องการสูง ทั้งนี้ การจัดการเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนนั้น ส่วนตนแล้วมองว่าสำหรับเด็กและเยาวชนที่หลุดไปจากระบบการศึกษาแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องควรต้องตามกลับมาให้เด็กและเยาวชนกลับมาเรียนต่อ แต่หากตามกลับมาไม่ได้ ก็ควรต้องมีโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้ต่อไปได้แม้จะหลุดออกไปนอกระบบการศึกษาแล้วก็ตาม

ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร   นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วในระบบการศึกษาอยากให้เป็นการเรียนแบบ learn on anywhere ซึ่งสถาบันการศึกษาหลายแห่งสามารถสนับสนุนการเรียนในลักษณะของ micro credential ประกาศนียบัตรฉบับจิ๋ว ใช้เวลาในการเรียนไม่นาน เน้นเรียนในสิ่งที่จะตอบโจทย์ตลาดแรงงานได้ นอกจากจะได้งานทำแล้ว ผู้เรียนยังสามารถนำความรู้ความสามารถที่ได้รับมาใช้ต่อยอดหากต้องการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นไปได้อีกด้วย นอกจากทักษะด้านเทคโนโลยีต่างๆ ทักษะด้านการวิเคราะห์ ด้านบริหารและความเป็นผู้นำแล้ว ทักษะที่ตลาดยังคงมีความต้องการสูงคือทักษะด้านภาษาและด้านการสื่อสาร ซึ่งส่วนตัวแล้วมองว่า การพัฒนาหลักสูตรหรือสร้างหลักสูตรใหม่ๆ ขึ้นมานั้น ควรต้องทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษากับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หลักสูตรนั้นตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างแท้จริง และหลักสูตรที่เหมาะสมกับยุคของการเปลี่ยนแปลงนี้ควรต้องเป็นหลักสูตรที่เป็นการเรียนรู้ข้ามศาสตร์ ด้วยการนำหลายศาสตร์มาผสมผสานกัน ไม่ใช่การเรียนรู้เพียงเรื่องเดียวหรือศาสตร์เดียวเหมือนอย่างในอดีต

ดร.พิเชฐ โพธิ์ภักดี   รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัญหาที่พบในปัจจุบันคือการผลิตคนที่บางครั้งไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการกำลังพยายามเปลี่ยนแปลง และทำให้เป็นการเรียนแบบ anytime, anywhere ทั้งเพื่อเร่งผลิตคนให้ตอบโจทย์ตลาด อีกทั้งเพื่อตอบรับสังคมผู้สูงวัย โดยได้ทำงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการเรียนรู้ความต้องการตลาดแรงงานในปัจจุบันและนำมาพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ตอบโจทย์ทักษะที่ตลาดต้องการ พบว่าปัจจุบันมีหลายหลักสูตรใหม่ๆ ที่ออกมา ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนแล้วยังมีรายได้ในขณะเรียนด้วย เช่น หลักสูตรอีสปอร์ต ส่วนความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ นั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับกระทรวงอื่นในการช่วยกันส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะที่เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต  เป็นต้น

ด้าน นางสาวปรียา พรมแดง หนึ่งในรุ่นพี่นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า ตนเองมีความเชื่อว่าสิ่งที่นำพาให้มาอยู่ในจุดนี้ได้ คือการไม่หยุดพัฒนาตนเอง ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการเป็นครูเพราะต้องการส่งต่อโอกาสและความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ หลังจากที่คว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยนเรศวร มาได้แล้ว ก็ได้สมัครเป็นครูสมใจที่โรงเรียนนานาชาติคิงส์คอลเลจกรุงเทพฯ แม้ว่าจะเรียนจบเอกภาษาไทย แต่ก็ใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนักกับภาษาอังกฤษที่เป็นวิชาที่ชอบ และยังมีโอกาสได้เรียนภาษาบาฮาซา ที่อินโดนีเซีย ปัจจุบันยังเรียนเพิ่มเติมภาษาเยอรมันอีกด้วย เวลาที่นอกเหนือจากการสอนที่เป็นงานประจำ จะหมดไปกับการ up skills ด้วยการอ่านและดูสื่อต่างๆ หรือการเข้าร่วมกิจกรรมหรือการแข่งขันเพื่อเปิดโลกทัศน์และทดสอบทักษะที่มีอยู่ รวมถึงการ re skills ด้วยการฝึกฝนในสิ่งที่เรียนมา นั่นก็คือทุกภาษาที่มีความรู้ความชำนาญ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาบาฮาซา รวมถึงทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการวิเคราะห์ ทักษะชีวิต  หรือทักษะการปรับตัวที่ตนเองมองว่าจำเป็นมากสำหรับการทำงาน เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหากเรียนรู้ที่จะอยู่องค์กรนั้นได้จะทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น สำหรับแนวคิด Learn to Earn นั้น ตนเองมองว่าเป็นการฝึกฝนและพัฒนาทักษะที่ถนัดหรือสนใจ เพื่อต่อยอดให้กลายเป็นอาชีพได้ โดย up skills เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้ตัวเอง และ re skills เพื่อรักษาคุณค่านั้นไว้หรือเพิ่มทักษะสำคัญเพื่อต่อยอดการทำงาน เมื่อทำได้ จะทำให้สามารถ Earn from Learn ได้อย่างมีความสุข

มูลนิธิเอสซีจี เชื่อว่าคุณภาพของทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญที่สุด หากจะพัฒนาประเทศให้ได้ผล พื้นฐานต้องเริ่มต้นที่การพัฒนาคนทั้งเรื่องการพัฒนาทักษะ หรือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในวันนี้มีบทบาทและความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการศึกษาภาคบังคับ นอกจากนี้ยังต้องมีการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน เพื่อที่จะทำให้เกิดผลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อจะช่วยกันผลักดันประเทศให้เติบโตไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org  และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

#LEARNtoEARN #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี จุดประกายขยายแนวคิด Learn to Earn หนุนคนรุ่นใหม่ ให้เรียนรู้ อยู่รอดได้ชุมชน

LEARN TO EARN เรียนรู้เพื่ออยู่รอด เป็นแนวคิดที่มูลนิธิเอสซีจีต้องการจุดประกายให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ตลอดจนสังคมได้ เรียนรู้ ปรับตัว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันรูปแบบการศึกษาได้เปลี่ยนไป เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งการเรียนรู้ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่คือการเรียนรู้แบบ Active learning ทั้งทักษะวิชาชีพ (Hard skills) และทักษะด้านอารมณ์ และการเข้าสังคม (Soft skills) หรือที่เรียกว่า ‘ทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21’ (Power Skill) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามพันธกิจหลักของมูลนิธิฯ ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้าง ‘คน’ ให้เติบโตเป็นคน ‘เก่ง และ ‘ดี’ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ขับเคลื่อนแนวคิด Learn to Earn โดยเริ่มจากสนับสนุนทุนการศึกษา และพัฒนาศักยภาพเยาวชน รวมทั้งให้โอกาสเยาวชนได้สร้างอาชีพให้กับตนเองและชุมชนของตน ยกตัวอย่างเช่น เป็ด จักรกริช ติงหวัง  ต้นกล้าชุมชน โดย มูลนิธิเอสซีจี นักพัฒนาชุมชนรุ่นใหม่ที่ปรับตัวจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่การจัดการท่องเที่ยวชุมชนจนเป็นคนต้นแบบในการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดได้ชุมชนอย่างยั่งยืนตามแนวคิด Learn to Earn

เป็ด เป็นลูกหลานชาวประมงที่เกิดและเติบโตในพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย บ้านหลอมปืน ตำบลละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล เขาเดินตามรอยเท้าผู้เป็นบิดาในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ระบบนิเวศคงความหลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่ เริ่มจากกิจกรรมเล็กๆ ที่ทำเองได้แบบไม่ต้องใช้เงินทุน อย่างการเก็บกวาดขยะบริเวณชายหาด ที่นอกจากจะทำให้ทัศนียภาพสวยงามแล้ว ยังเพื่อใช้ชายหาดเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมชุมชน ต่อมาภายหลังเหตุการณ์สึนามิที่ได้ทำลายสภาพแวดล้อมบริเวณรอบอ่าวไปจนหมดสิ้น เป็ดพร้อมด้วยผู้นำชุมชนและชาวบ้าน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันปลูกป่า เพื่อให้สภาพป่ากลับมาเหมือนเดิม พร้อมกับแนวคิดที่อยากจะพัฒนาพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ยให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศ จนปัจจุบัน ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่สามารถสร้างรายได้ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรชุมชนอีกด้วย เพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศหนึ่งเดียวของจังหวัดสตูล มีระบบนิเวศ 3 แบบ คือ ป่าชายเลนที่อยู่บนฝั่ง ป่าชายหาด และชายฝั่งที่อุดมสมบูรณ์

เป็ด เล่าว่า การจัดการแหล่งท่องเที่ยวชุมชนแห่งนี้ ได้ยึดแนวทางการจัดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม โดยชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมรับผิดชอบ และร่วมรับผลประโยชน์ เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้รับประโยชน์สูงสุดที่เกิดจากการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน และสร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาวบ้านในท้องถิ่นกับผู้มาเยือน รวมถึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว ที่ประกอบไปด้วย ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจชุมชน

นอกจากการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนแล้ว เป็ดยังได้ร่วมกับคนในชุมชน สร้างโปรแกรมท่องเที่ยวในชุมชนตามเส้นทางต่างๆ ถึง 4 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางธรรมชาติทะเลชายฝั่ง ป่าชายเลน เส้นทางในชุมชน  เส้นทางธรณีโลกสตูล และเส้นทางท่องเที่ยวทางทะเล พร้อมด้วยบริการอาหารกลางวันและอาหารว่างตามฤดูกาลที่เป็นอาหารพื้นบ้าน รวมถึงการทำผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่จะเป็นรายได้ให้กับสมาชิกชุมชนได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วย เช่น แหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศ ชุมชนหลอมปืน ในบริเวณอ่าวทุ่งนุ้ย ซึ่งมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ปันหยาบาติก ณ บ้านปากละงู สัมผัสการทำผ้ามัดย้อมสกัดจากสีดินท้องถิ่นแห่งแรกในประเทศไทย  นั่งเรือไปชมเกาะลิดี ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา  ที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าไม้บนเขา ป่าชายเลน โขดหินรูปร่างประหลาด หาดทรายที่สวยงาม และสะพานข้ามเวลา พาเดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติริมทะเลที่พาย้อนกลับไปส่องยุคที่โลกยังไม่มีมนุษย์ พร้อมกับพาเดินผ่านยุคโบราณกาล 2 ยุคจากรอยสัมผัสของหิน คือ หินทรายสีแดงยุคแคมเบรียน และ หินปูนยุคออร์โดวิเชียน

ไม่เพียงแต่เป็ดจะพัฒนาอาชีพตนเอง แต่ยังงมุ่งมั่นพัฒนาคนในชุมชนไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ทุนคนมีส่วนร่วมในแหล่งท่องเที่ยวชุมชนแห่งนี้ได้อย่างเหมาะสม อาทิ กลุ่มเด็กและเยาวชนได้รับการฝึกและพัฒนาให้เป็นนักสื่อความหมายชุมชน หรือ มัคคุเทศก์น้อย เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับชุมชนและถ่ายทอดต่อไปยังคนนอกชุมชนได้รับรู้และเข้าใจ และยังมีรายได้เพื่อให้เกิดเป็นขวัญและกำลังใจกับการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ลดปัญหาการเข้าไปสู่แหล่งอบายมุข กลุ่มผู้สูงวัยจัดให้เป็นผู้ถ่ายทอดแนะแนวทางของภูมิรู้เฉพาะเรื่อง กลุ่มคนวัยทำงานหวังผลให้มีงานทำอยู่ในชุมชนเพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญในการช่วยกันออกแบบการพัฒนาคน พัฒนาพื้นที่ และพัฒนาให้เกิดการสร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างยั่งยืนให้แก่ชุมชนต่อไป

ด้วยการทำงานอย่างทุ่มเทในพื้นที่ เน้นสร้างเครือข่ายความร่วมมือในชุมชนอย่างต่อเนื่อง และสร้างการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดได้ในชุมชน ทำให้เป็ดได้รับความไว้ว้างใจให้ดำรงตำแหน่งประธานการท่องเที่ยวชุมชน โดยชุมชน Community-based Tourism (CBT) จังหวัดสตูล และได้รับรางวัลผู้มีผลงานดีเด่นด้านการท่องเที่ยวชุมชน ประจำปี 2566 จากวิทยาลัยชุมชนสตูล  และยังคงต่อยอดสร้างคุณค่าและมูลค่าให้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เดียวของชุมชนในพื้นที่อ่าวทุ่งนุ้ย บ้านหลอมปืน จ.สตูล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป

สุวิมล จิวาลักษณ์   กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี  กล่าวเสริมถึงแนวคิดแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ที่มูลนิธิเอสซีจีกำลังขับเคลื่อนเพื่อจุดประกายขยายแนวคิดในสังคมว่า

“ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน จนสามารถทำให้สมาชิกชุมชนทุกช่วงวัย มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้อยู่รอดได้ ทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่ต้องเสาะแสวงหาทางเข้ามาหางานทำในเขตเมือง แต่หันมาใส่ใจให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดและพัฒนาทักษะ ความรู้ ความชำนาญ ที่มีอยู่ ด้วยความหวังที่จะพัฒนาบ้านเกิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้แก่ทุกคนในชุมชน ซึ่งตรงกับแนวคิด Learn to Earn ที่ทางมูลนิธิพยายามผลักดันและให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะการเรียนรู้ ไม่ได้มีแพทเทิร์นที่ตายตัวว่าต้องทำงานตรงตามสายงานที่เรียนจบมาเทานั้น แต่การเรียนรู้ตลอดเวลา เรียนรู้ให้เท่าทันโลก และนำความรู้ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์ และทำให้ตัวเองอยู่รอดได้ในชุมชน ในสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญมากในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวของป็ดคือหนึ่งตัวอย่างและต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ภายใต้แนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด”

มูลนิธิเอสซีจีมุ่งจุดประกายขยายแนวคิด และประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการตระหนักรู้เรื่อง Learn to Earn ในกลุ่มเยาวชน ตลอดจนกลุ่มพ่อแม่ ครู และผู้นำทางความคิดในสังคมผนึกกำลังช่วยกันขับเคลื่อนให้มองมุมกลับ ปรับมุมมองในเรื่องการศึกษาเรียนรู้ โดยมีเป้าหมายให้เด็กยุคใหม่ ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้อยู่รอด รู้เท่าทัน ก้าวทันโลก

ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org  และ   เฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

#LEARNtoEARN #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #มูลนิธิเอสซีจี

  มูลนิธิเอสซีจี จุดประกายสังคมให้ Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ชูตัวอย่าง “ช่างมีด” รุ่นใหม่ เรียนรู้ ปรับตัว มีรายได้

การมีใบปริญญาติดฝาบ้าน ไม่ใช่คำตอบของความสำเร็จในชีวิตอีกต่อไปแล้ว  เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จของแต่ละคน ไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับ การเรียนรู้ ความมุ่งมั่นพยายาม ปรับตัวการไขว่คว้าโอกาสที่เข้ามา กระทั่งจังหวะเวลา ของแต่ละคน

ดังเช่นแนวคิด Learn to Earn ที่มูลนิธิเอสซีจี กำลังขับเคลื่อน โดยสนับสนุนการเรียนรู้ทั้ง Hard Skill ทักษะเพื่อการประกอบวิชาชีพ  ผสานกับ Soft Skill หรือทักษะการใช้ชีวิต ซึ่งจะทำให้สามารถรับมือและอยู่รอดได้ในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เอิร์ธ ธรรมรัฐ มูลสาร วัย 22 ปี จากโครงการต้นกล้าชุมชน โดยมูลนิธิเอสซีจี ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างแนวคิดของการเรียนรู้เพื่ออยู่รอด นี้

หลังจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แม้ว่าเพื่อนๆ ร่วมชั้น ต่างพากันเลือกเส้นทางชีวิตเข้าศึกษาต่อในสาขาต่าง ๆ ในหลากหลายมหาวิทยาลัย แต่ “เอิร์ธ” ค้นพบตัวเองว่า ไม่ใช่คนเรียนเก่ง จึงตัดสินใจเลือกเส้นทาง  ที่ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ   และมุ่งหาคำตอบและทางรอดของชีวิตเพื่ออนาคตของตนเอง เมื่อมีโอกาสเข้ามา “เอิร์ธ”  ตัดสินใจที่จะเลือกทางเดินสายอาชีพ ผ่านการเรียนรู้ “การตีเหล็กโบราณ” อาชีพคู่บ้านคู่เมืองเพีย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ด้วยการฝากตัวเป็นศิษย์ของจำลอง สูนทอง ปราชญ์ที่เป็นผู้สืบทอดภูมิปัญญาแบบรุ่นสู่รุ่นและมีความเชี่ยวชาญการตีมีดแบบวิถีโบราณในหมู่บ้าน ต. เพีย จ.ขอนแก่น  “เอิร์ธ” มุ่งมั่นและตั้งใจเล่าเรียนและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังด้วยความปรารถนาที่จะมีวิชาความรู้เพื่อสร้างอาชีพให้กับตนเอง และกล่าวได้ว่า “เอิร์ธ” เป็นช่างตีมีดรุ่นสุดท้าย และเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวที่ได้รับวิชาความรู้การตีเหล็กโบราณจากสกุลช่างเมืองเพีย

“เอิร์ธ” เกิดในครอบครัวนักพัฒนาชุมชน ทำให้เขามีโอกาสได้ซึมซับบทบาทของการเป็นผู้นำ เพื่อพัฒนาบ้านเกิด จากบิดามารดาซึ่งเป็นประธานเครือข่ายวิสาหกิจท่องเที่ยววิถีเกษตรแก่งละว้า  พื้นที่การเรียนรู้บ้านไฮ่บ้านสวน ที่ปัจจุบัน ได้กลายเป็นศูนย์เรียนรู้วิถีชุมชนอีสาน ท่องเที่ยววิถีเกษตรนิเวศวัฒนธรรม พร้อมทั้งโรงตีมีดโบราณของเขาก็ตั้งอยู่ในผืนที่ดินบริเวณเดียวกัน

“เอิร์ธ” เล่าว่า ครูที่สอนวิชาให้นั้น เป็นช่างคนเดียวที่เหลืออยู่ ซึ่งตอนที่ตัดสินใจมาเรียนนั้น คิดแค่ว่าอยากมีทักษะ มีความรู้ติดตัว และความเชื่อที่ว่า เด็กผู้ชายต้องมีฝีมือทางการช่าง แล้วก็ยังไม่ได้คิดไปไกลถึงเรื่องการต่อยอด แม้ตอนนั้นจะมีคำถามในใจอยู่เหมือนกันว่า เมื่อไม่ได้เรียนต่อแล้วจะทำอาชีพอะไรเลี้ยงตัวเองต่อไป จนเมื่อฝึกฝีมือได้ที่ จึงได้มีแนวคิดที่จะต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมากกว่าเพียงแค่มีด เพราะเขาเชื่อว่า งานตีเหล็ก ไม่ได้มีเพียงแค่มีดเท่านั้น จึงเกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาหลากหลาย เป็นการผสานมูลค่ากับคุณค่าเข้าด้วยกัน ทุกวันนี้ “เอิร์ธ” สามารถทำรายได้เลี้ยงตัวเองเดือนละประมาณ 20,000 บาท และยังช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนที่ทำอุปกรณ์เสริม เช่น ด้ามจับไม้สำหรับทำด้ามมีด ด้ามจอบ เสียม หรือถ่านไม้ที่นำมาใช้เผาเหล็ก หรือรายได้จากการจำหน่ายอาหารสำหรับกลุ่มคนที่มาเรียนรู้งานตีเหล็ก ฯลฯ

ปัจจุบัน “เอิร์ธ” สามารถใช้ความรู้จากอาชีพการตีมีด สร้างรายได้ที่เลี้ยงดูทั้งตนเองและครอบครัว ด้วยผลิตภัณฑ์หลายหลายที่ผลิตขึ้นมา อาทิ มีด จอบ เสียม คราด ช้อน และอุปกรณ์ทางการเกษตร การประมง นอกจากการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากความรู้ความสามารถที่มีอยู่แล้วนั้น สิ่งหนึ่งที่ “เอิร์ธ” พยายามทำเพิ่มเติมก็คือ การพยายามรักษาและขยายองค์ความรู้ช่างตีเหล็กให้คนในชุมชนต่อไป เพื่อคงไว้ซึ่งอาชีพดั้งเดิมที่สามารถสร้างรายได้ อาจก้าวสู่การเป็น “ช่างมีด” กูรูผู้มีความรู้ในเรื่องการใช้มีด ความของชุมชนเมืองเพียแห่งนี้

“จากสภาพทางเศรษฐกิจปัจจุบัน และความเหลื่อมล้ำทางสังคม  ทำให้เด็กและเยาวชนอีกจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสเรียนต่อ และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เรียนจบมาแล้ว หางานทำไม่ได้ การสร้างทางเลือกของคนรุ่นใหม่ จึงไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการศึกษาในระบบแต่เพียงอย่างเดียว แต่การเลือกเรียนในสิ่งที่สามารถก่อเกิดเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ตัวเอง และครอบครัว ให้สามารถอยู่รอดได้ คือความสำเร็จของการศึกษาอย่างแท้จริง การเลือกเรียนในสิ่งที่จะช่วยทำให้มีชีวิตรอดในยุคปัจจุบัน ควรมุ่งเน้นจากความรักความชอบในเรื่องนั้น และมุ่งมั่นเรียนรู้ ก่อเกิดเป็นอาชีพ และที่ผ่านมามูลนิธิฯ ก็ได้สนับสนุนและให้โอกาสเยาวชนจำนวนมาก ถึงฝั่งฝันอย่างภาคภูมิใจ เช่นเดียวกับความสำเร็จในวันนี้ของ ‘เอิร์ธ’ หนึ่งในต้นกล้าชุมชนที่เราก็มีความภาคภูมิใจ ที่เราสามารถช่วยสนับสนุนให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้ เพราะการเรียนรู้เพื่ออยู่รอด สำคัญไม่แพ้การเรียนในระบบ และเรื่องราวของเขายังจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนรุ่นต่อไปได้อีกด้วย” สุวิมล จิวาลักษณ์   กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจีกล่าว

แนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด เป็นแนวคิดที่มูลนิธิเอสซีจีมุ่งเน้นสื่อสารและต่อยอดแนวคิดดังกล่าวสู่สาธารณชนในวงกว้าง เพื่อสร้างการตระหนักรู้ทั้งในกลุ่มเยาวชน ตลอดจนกลุ่มพ่อแม่ ครู และผู้นำในทุกภาคส่วนที่จะช่วยกันขับเคลื่อนด้านการศึกษา โดยมีเป้าหมายให้เด็กไทย “เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” ได้ในชีวิตจริง ด้วยการ
สนับสนุนด้านทุนการศึกษาประเภท Learn to Earn มาตั้งแต่ปี 2565 ที่ส่งเสริมให้เยาวชนได้เรียนเร็ว จบเร็ว ได้งานเร็ว โดยมอบทุนไปแล้วถึง 2,059 ทุน เป็นมูลค่ากว่า 48 ล้านบาท โดยกว่า 80% นักเรียนทุนจบแล้วมีงานทำ สามารถประกอบการงานให้เป็นประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว และสังคมได้

ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org  และ เฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

#LEARNtoEARN #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #GenWillSurvive #มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี และ SCGP คว้ารางวัลชนะเลิศ นวัตกรรมเตียงสนามกระดาษ สำหรับออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ตอกย้ำแนวคิดสร้างสรรค์ เน้นตอบโจทย์การใช้งาน ลดเหลื่อมล้ำในสังคม

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกกำลัง นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.) โดยมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และแพทยสภา และ SCGP เดินหน้าสร้างประโยชน์ด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้สังคมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2566 ในสาขาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม องค์กรเพื่อสังคมและชุมชน จากผลงาน “นวัตกรรมเตียงกระดาษ สำหรับออกหน่วยเเพทย์เคลื่อนที่” ที่ร่วมกันสร้างสรรค์โดยทีมนักออกแบบ SCGP มูลนิธิเอสซีจี และ ปธพ. โดยต่อยอดจากเตียงสนามกระดาษที่เคยรองรับผู้ป่วยโควิด 19 ให้สามารถตอบโจทย์การใช้สำหรับการปฏิบัติงานของแพทย์และการใช้บริการของผู้ป่วยในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย และเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก

รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ จัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่คนไทย ที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างชัดเจน โดยในการประกวดครั้งนี้ มีองค์กรต่าง ๆ ร่วมส่งประกวดกว่า 300 องค์กร

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ผนึก​กำลัง​พันธมิตร​เปิดตัวโครงการเกมเมอร์พิชิตฝัน (School Tour) เพื่อ​ส่งเสริมให้เยาวชนพัฒนาทักษะตามแนวคิด​ Learn​ to​ Earn​

จากความสำเร็จ​ในความร่วมมือระหว่างมูลนิธิ​เอสซี​จี ​และสโมสร King Of Gamers Club (KOG) ในการดำเนินโครงการ School Tournament ในปีที่ผ่านมาให้กับโรงเรียน​ระดับมัธยมศึกษาได้ทดลองเรียน​รู้​กระบวนการ ​และจัดการแข่งขันจริง เติมองค์​ความรู้เกี่ยวกับอาชีพอีสปอร์ต

สู่การต่อยอดในปีนี้โดยได้ขยายเครือข่าย​ความร่วมมือ​ กับมูลนิธิประดิษฐ์-สมสุข กัลป์ จาฤก และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกันจัดทำโครงการเกมเมอร์พิชิตฝัน (School Tour) เพื่อ​ยกระดับ​การเรียนรู้​ และ​เปิดโอกาส​ให้เยาวชน​ได้เข้ามาลงมือปฏิบัติจริงกับอุปกรณ์คุณภาพสูงที่ Ture 5G PRO HUB ชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ เพื่อสร้าง​พื้นที่​แห่ง​การเรียนรู้​ ส่งเสริม​ศักยภาพ​ของ​เด็ก​ไทยในวงการอุตสาหกรรม​อี​สปอร์ต

โดยพี่​แป๊ด​ สุวิมล​ จิวาลักษณ์ กรรมการ​และ​ผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ คุณ​ปนัดดา​ ธนสถิตย์ รองประธาน​กรรมการมูลนิธิ​ประดิษฐ์-สมสุข กัลป์ จาฤก และคุณ​ลิปิการ์ กำลัง​ชัย รองอธิบดี​กรมส่งเสริมวัฒนธรรม​ให้เกียรติ​เปิดงาน

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมยินดีกับ 3 บุคคลต้นแบบ คว้ารางวัลคุณธรรมอวอร์ด ระดับประเทศ

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ร่วมแสดงความยินดีกับ คุณคนึงนิตย์ ชะนะโม ต้นกล้าชุมชน คุณชนิษฐา พร้อมพรั่ง นักบริบาลชุมชน อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น และ ทันตแพทย์หญิงกัลยรัตน์ สิมะโรจน์ ผู้แทน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ พรชัย สิมะโรจน์ ภาควิชาจักษุวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งได้รับรางวัลคุณธรรม อวอร์ด ประจำปี 2565 จัดโดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ณ หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม โดยมูลนิธิเอสซีจี ได้มีโอกาสร่วมทำงานกับเครือข่ายทั้ง 3 ท่าน ทั้งในด้านการพัฒนาชุมชน และด้านสาธารณสุข เพื่อลดความเหลือมล้ำให้สังคมเข้มแข็งอย่างยั่งยืน

รางวัลคุณธรรมอวอร์ด ประเภทบุคคล จัดขึ้นเพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติให้แก่บุคคลที่ผู้มีจิตสาธารณะ สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม มีความชัดเจนและปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่ชุมชน รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจ เป็นต้นแบบการทำความดีต่อสังคม

มูลนิธิเอสซีจี คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2023 ระดับเอเชีย ตอกย้ำแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด

มูลนิธิเอสซีจี ดำเนินโครงการ Learn to Earn เรียนรู้ เพื่ออยู่รอด จนได้รับคัดเลือกให้เป็นองค์กรที่สร้างความโดดเด่นด้าน Investment in People จากเวที Asia Responsible Enterprise Awards จัดโดย Enterprise Asia องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) คัดเลือกองค์กรที่มีผลงานดีเด่นในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนกว่า 19 ประเทศ ทั่วเอชีย โดยได้ประกาศผลรางวัลเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา

แนวคิด Learn to Earn เกิดขึ้นจากที่มูลนิธิฯ เล็งเห็นถึงความท้าทายด้านการศึกษาในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงมุ่งส่งเสริมแนวคิด Learn to Earn เรียนเร็ว จบเร็ว มีงานรองรับ พัฒนาศักยภาพทักษะด้านความรู้ความสามารถ (Hard skill) และ ทักษะทางด้านการเข้าสังคมและอารมณ์ (Soft skill) หรือที่เรียกว่าทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Power Skill) ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต ทำให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาภายใต้แนวคิด Learn to Earn ไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน 1,300 ทุน เช่น ทุนด้านสาธารณสุข และ เทคโนโลยี ซึ่งที่ผ่านมา นักเรียนทุนสามารถหางานทำได้กว่าร้อยละ 90

นอกจากนี้ มูลนิธิฯ มุ่งเน้นสร้างการรับรู้ และความเข้าใจแนวคิด Learn to Earn ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Opinion Leader รวมถึงครูและผู้ปกครอง ให้เข้าใจถึงรูปแบบการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป ทักษะอาชีพอะไรที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้ง ปลูกฝัง Mindset เรื่อง Power skill ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้เยาวชนเป็นทั้งคนเก่ง คนดี มีน้ำใจ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนผลักดันแนวคิดนี้ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสื่อมวลชน ด้วยมูลนิธิฯ เชื่อว่า การขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาที่ยั่งยืนนั้น ไม่สามารถทำได้เพียงคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยคนหลายภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทางสังคมเพื่อกระตุ้นการรับรู้แนวคิดดังกล่าว อย่างยั่งยืน

รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) จัดขึ้นโดยองค์กร Enterprise Asia โดยมีจุดกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ที่มุ่งส่งเสริมและพัฒนาองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในเอเชีย เป้าหมายของรางวัลนี้คือสร้างแรงบันดาลใจและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยการประกวดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 มีองค์กรที่เข้าร่วมประกวดมาแล้วทั้งสิ้น 3,367 แห่ง ได้รับการยอมรับและความสนใจจากองค์กรในเอเชียมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อวด Skills ยังไงให้ได้เงินแสน !! มาอวด Skills คน Gen ใหม่ ทำยังไงให้รอด!! กับแคมเปญ “Gen Will Survive” โดยมูลนิธิเอสซีจี

อวด Skills ยังไงให้ได้เงินแสน !! มาอวด Skills คน Gen ใหม่ ทำยังไงให้รอด!! กับแคมเปญ “Gen Will Survive” โดยมูลนิธิเอสซีจี ทำตามกติกาง่ายๆ ดังนี้

เล่าเรื่องราวความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ ที่สร้างรายได้ให้ตัวเอง น้อยมากไม่สำคัญ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น

บอกทักษะที่ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็น Hard Skills* หรือ Soft Skills* ก็ได้

Hard Skills คือ ทักษะอาชีพ ทักษะด้านวิชาการ ทักษะภาษา หรือความสามารถ การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา แต่งหน้า การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การวาดภาพ การทำอาหาร การถ่ายรูป เป็นต้น

Soft Skills คือ ทักษะการใช้ชีวิต เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การเป็นผู้นำ การเข้าสังคม การเป็นผู้ฟังที่ดี มีทัศนคติดี การบริหารจัดการเวลา การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการควบคุมอารมณ์ การกำจัดความเครียด เป็นต้น

แค่คุณเป็นนักเรียน/ นักศึกษา/ หรือบุคคลทั่วไป ที่มีอายุระหว่าง 15-25 ปี

รางวัลผู้ชนะการประกวด “Best Survivor Awards”
รางวัลที่ 1 จำนวน 1 รางวัล เป็นเงินสดมูลค่า 100,000 บาท
รางวัลที่ 2 จำนวน 1 รางวัล เป็นเงินสดมูลค่า 50,000 บาท
รางวัลที่ 3 จำนวน 1 รางวัล เป็นเงินสดมูลค่า 30,000 บาท
รางวัลชมเชยอีกจำนวน 5 รางวัล

สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ กรอกข้อมูลได้ที่ >> https://bit.ly/43y5ZjE
หรือสแกน QR Code

** ปิดรับสมัครภายในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

** ประกาศผลผู้ชนะและรับรางวัลที่งาน Gen Will Survive ในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2566 (โดยผู้ได้รับรางวัลจะได้รับการติดต่อจากทีมงานเพื่อแจ้งรายละเอียดการได้รับรางวัลภายในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2566)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Line Official : @genwillsurvive คลิก https://bit.ly/4290Opj
Email: genwillsurvive@gmail.com
Facebook : Woody /Learn to Earn/ มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญ ทุกท่านที่ร่วมสมทบทุนในโครงการ “สะพานบุญ สะพานใจ : บุญใหญ่รับปีใหม่ ช่วยผู้ป่วยยากไร้โรคมะเร็ง”

ยอดบริจาคทั้งสิ้น  233,291.59 บาท โดยมูลนิธิเอสซีจี จะสมทบอีก 1 เท่า รวมเป็นทั้งสิ้น 466,583.18 บาท

เพื่อจัดซื้อระบบเตือนขอความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน (Intercom) จากห้องพักถึงทีมแพทย์ จำนวน 20 เครื่อง

ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ ที่เดินทางมารักษาที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี และพักพิงอยู่ ณ บ้านแสงจันท์  

(ยอดสมทบที่บริจาคเข้ามาหลังวันที่ 30 เม.ย. 66)

มูลนิธิฯ จะมอบ/จัดซื้อสิ่งของจำเป็นอื่นๆ เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งยากไร้ ณ บ้านแสงจันท์ ต่อไป)

ขอบุญนี้ส่งผลให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ

ท่านสามารถติดตามการบริจาคได้ที่ www.scgfoundation.org facebook เพจ ปันโอกาส และช่องทางต่างๆ ของมูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี เฟ้นหายุวศิลปิน ชวนสร้างงานศิลป์ ปล่อยพลัง Soft Power ในเวที Young Thai Artist Award 2023

มูลนิธิเอสซีจี เปิดพื้นที่แห่งโอกาสให้เยาวชนที่มีใจรักการสร้างสรรค์งานศิลปะ มีอายุระหว่าง 15-25 ปี ทั่วประเทศ  ได้มีโอกาสประลองความคิดสร้างสรรค์ ประชันไอเดียศิลป์ เพื่อแจ้งเกิดเป็นยุวศิลปินเลือดใหม่ในวงการศิลปะ ด้วยการส่งผลงานเข้าประกวดในโครงการ “รางวัลยุวศิลปินไทย 2566” หรือ Young Thai Artist Award 2023 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

Young Thai Artist Award 2023 เป็นเวทีประกวดศิลปะสำหรับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของประเทศ เยาวชนที่มีความสนใจและมีสามารถด้านงานศิลปะ สามารถสมัครและส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ถึง 6 สาขา ได้แก่ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี โดยผู้ชนะรางวัลผลงานยอดเยี่ยมแต่ละสาขา จะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 300,000 บาท รางวัลดีเด่นรับถ้วยรางวัลโครงการ พร้อมเงินรางวัล 50,000 บาท

ผู้สนใจและมีศักยภาพด้านศิลปะ มีโอกาสได้รับผลจากการเรียนรู้ที่จะได้แจ้งเกิดเป็นดาวดวงใหม่ในวงการศิลปะ บนเวทีสานฝันสู่เส้นทางความสำเร็จ เป็นใบเบิกทางพัฒนาต่อยอดสู่อาชีพศิลปินในอนาคต ซีงสอดรับกับแนวคิด Learn to Earn  เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ที่มุ่งเน้น ให้เยาวชนพัฒนาทักษาทั้ง Hard Skill และ Soft Skill  นำความรู้ไปใช้ในทางสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนเอง  สังคม และประเทศชาติ สมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2566 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครออนไลน์ได้ที่   www.youngthaiartistaward.com ติดตามความเคลื่อนไหวและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/YoungThaiArtistAward และ www.instagram.com/youngthaiartistaward

“สะพานบุญ สะพานใจ: บุญใหญ่รับปีใหม่ไทย ช่วยผู้ป่วยยากไร้โรคมะเร็ง”

“เมื่อเสียงขอความช่วยเหลือ…ไม่มีคนได้ยิน”

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญชวนร่วมทำบุญในเดือนปีใหม่ไทย 2566 ส่งต่อความห่วงใย ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้และญาติ ที่เดินทางมารักษาที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี และพักพิงอยู่ ณ บ้านแสงจันท์  ด้วยการร่วมสมทบทุนกับมูลนิธิเอสซีจี เพื่อจัดซื้อระบบเตือน (Intercom) ขอความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินจากห้องพักถึงทีมแพทย์ จำนวน 20 เครื่อง เพื่อผู้ป่วยจะได้รับการรักษาและดูแลอย่างปลอดภัย ซึ่งผู้บริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า

ทุกการบริจาคมูลนิธิเอสซีจีจะร่วมสมทบอีก 1 เท่าจากยอดบริจาค โดยสามารถบริจาคได้ง่ายๆ ผ่าน e-donation ผ่าน Platform “สะพานบุญ สะพานใจ” โดยมูลนิธิเอสซีจี https://www.scgfoundation.org/meritbridge/

เป้าหมาย : 100,000 บาท (ทุกการบริจาค มูลนิธิเอสซีจีจะร่วมสมทบให้อีก 1 เท่าจากยอดบริจาค)

ระยะเวลา : วันนี้ ถึง 30 เม.ย. 66

สอบถามข้อมูล : 02-586-5506

รับมอบเงินสมทบทุนช่วยเหลือการผ่าตัดต้อกระจก ในโครงการ  ๑ดวงตา ๑น้ำใจ

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี รับมอบเงิน จำนวน 1,000,000 บาท จาก ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา  ประธานกรรมการบริหาร/ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และคุณจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฎิบัติการ สายกิจกรรมพิเศษบริษัทกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพื่อสมทบทุน ช่วยเหลือการผ่าตัดต้อกระจก ในโครงการ  ๑ดวงตา ๑น้ำใจ

ภายใต้โครงการ “ราษฎรสุขใจ พลานามัยสมบูรณ์” แพทย์พระราชทาน โดยมูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และภาคี

โอกาสนี้ ทุกท่านยังสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือผู้ป่วยต้อกระจก ให้ได้รับการผ่าตัดดวงตาให้สดใสสร้างโอกาส ในการมองเห็น โดยสแกน QR Code  e-Donation  วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2566

ทุกการบริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่าค่ะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0838111111

มูลนิธิเอสซีจี จับมือ ช่อง One31 ส่งเกมโชว์ใหม่ ย้ำแนวคิด Learn To Earn ชวนเยาวชนมาร่วมค้นหาตัวตน-พัฒนาทักษะและความรู้ให้อยู่รอดในโลกปัจจุบัน

“มูลนิธิเอสซีจี” ร่วมกับ ช่อง One31 ส่งเกมโชว์ใหม่ “เก่งสู้เก่ง สานฝัน สร้างอาชีพ” ลงจอทุกเสาร์ตลอดเดือนเมษายนนี้ ชวนคนรุ่นใหม่ ค้นหาความชอบ อาชีพที่ใช่ ตอบโจทย์โลกยุคใหม่  ภายใต้แนวคิด Learn To Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด ผ่านการประชันความรู้ ชิงทุน-ต่อยอดเพื่อพัฒนาอาชีพ มูลค่า 50,000 บาท

นางสาวสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี เปิดเผยว่า หลังจบรายการ “Young Survivors รุ่นนี้…ต้องรอด” ภาคแรกของแนวคิด Learn To Earn ซึ่งได้รับการตอบรับจากเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดี ในปี 2566 นี้ แนวคิด Learn To Earn ยังคงเดินหน้าเพื่อเปิดพื้นที่แห่งโอกาสให้เยาวชนไทยที่มากความสามารถ ได้แสดงออก โดยปีนี้ มูลนิธิฯ ได้จับมือกับ ช่อง One 31 สร้างสรรค์ -รายการเกมโชว์ ที่เยาวชนผู้ร่วมรายการจะต้องนำความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติมาแข่งขันประชันไหวพริบเพื่อชิงเงินทุนเรียนรู้และพัฒนาอาชีพ ในรายการ “เก่งสู้เก่ง สานฝัน สร้างอาชีพ” -เพื่อจุดประกายให้เยาวชนไทยได้รู้ว่าตนเองชอบอะไร ถนัดอะไร และต้องไม่หยุดเรียนรู้ ไม่หยุดพัฒนาตนเอง เพื่อให้ตอบโจทย์และทันต่อโลกแห่งอนาคต

“ปีนี้ มูลนิธิเอสซีจีได้เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอมาเป็นรายการเกมโชว์ และใช้เยาวชน ที่มีความสามารถ และมีความฝันที่จะเดินทางในสาขาอาชีพต่างๆ เช่น มัคคุเทศก์ ช่างอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Influencer ตัวจริง เสียงจริง เป็นผู้ร่วมรายการ- โดยเยาวชนที่มาร่วมปฏิบัติภารกิจในรายการ จะต้องใช้ความรู้ที่มีอยู่มาปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาทเพื่อเป็นทุนในการเรียนรู้และพัฒนาอาชีพต่อไป ซึ่งรับรองว่าสนุกสนาน และได้ความรู้เหมาะกับทุกๆ เจนเนอเรชั่น” นางสาวสุวิมลกล่าว

รายการ “เก่งสู้เก่ง สานฝัน สร้างอาชีพ” เป็นรายการเกมโชว์ที่เยาวชนผู้ร่วมรายการจะต้องมาแข่งขันประชันไหวพริบและความรู้ความสามารถ ด้วยการใช้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติมาปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ พิธีกรสายเลือดใหม่วงการเกมโชว์ ออกอากาศทุกวันเสาร์ตลอดเดือนเมษายนนี้ รวมทั้งสิ้น 4 ตอน เริ่มวันเสาร์ที่ 1 เมษายน 2566 – 28 เมษายน 2566 เวลา 16.00 น. ทางช่อง One31

ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจีเพิ่มเติมได้ที่ www.scgfoundation.org และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

เปลี่ยนความเหลื่อมล้ำ ให้เป็นความเสมอภาค ด้วยการให้การศึกษา

พิธีมอบประกาศนียบัตรให้แก่ นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจีที่สำเร็จการศึกษาประจำปีการศึกษา 2565 ณ วิทยาลัยเทคนิคโพธาราม จ.ราชบุรี โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ให้เกียรติเป็นประธาน

เพราะการให้การศึกษา คือการพัฒนาคนอย่างยั่งยืน

โครงการ “๑ ดวงตา ๑ น้ำใจ”

โครงการ “๑ ดวงตา ๑ น้ำใจ” 

ภายใต้โครงการ “ราษฎรสุขใจ พลานามัยสมบูรณ์” แพทย์พระราชทาน โดยมูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และภาคี ขับเคลื่อนการผ่าตัดแก่ผู้ป่วยโรคต้อกระจก ซึ่งเป็นโรคที่มีผู้ป่วยรอรับการผ่าตัดรักษากว่า 26,000 รายต่อปี ให้ได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

ในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการมอบดวงตาที่สดใสสร้างโอกาสใหม่ในการมองเห็น การสมทบทุนทุก 8,000.- บาท เพื่อใช้ในการผ่าตัด 1 ดวงตา ท่านจะได้รับใบประกาศเกียรติคุณ โดยสามารถกรอกข้อมูลสำหรับรับใบประกาศเกียรติคุณได้ที่ https://forms.gle/BK9PG1sxPSzZXwTFA

และสำหรับทุกยอดสมทบทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2566

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 083-811-1111

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://youtu.be/3YXqvILH1oI

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ กสศ. ผสานความร่วมมือพัฒนาตัวแบบ ‘กองทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ’

คุณสุวิมล​ จิวา​ลักษณ์ กรรมการ​และ​ผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ และดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คุณธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการดำเนิน “โครงการพัฒนาตัวแบบกองทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ เพื่อผสานความร่วมมือในการขยายพื้นที่การทำงานของโครงการฯ โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อสร้างการเรียนรู้ และการพัฒนาอาชีพ สร้างรายได้ และความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ มีหน่วยจัดการเรียนรู้เข้าร่วมโครงการนำร่องทั้งหมด 3 หน่วย ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนพอใจในวิถีพอเพียง จังหวัดกาญจนบุรี, กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอเสื่อบ้านโพธิ์ทอง (ก.กกบึงกาฬ) จังหวัดบึงกาฬ, ชมรมเพื่อเพื่อนผู้พิการตำบลแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันสร้างตัวแบบกองทุนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาอาชีพ ภายใต้แนวคิดการใช้ “อาชีพ” และ “กองทุน” เป็น “เครื่องมือช่วยให้คนเกิดการเรียนรู้” โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ผ่านการพัฒนางานบนความต้องการของคนในชุมชนโดยเฉพาะกลุ่มคนด้อยโอกาส

สำหรับการทำงานระหว่างมูลนิธิเอสซีจี และ กสศ. จะดำเนินงานร่วมกันในลักษณะการบริหารเครือข่ายความร่วมมือ เน้นการเข้าไปสร้างการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม และส่งเสริมการลงมือปฏิบัติโดยคนในพื้นที่ (community based) พัฒนาต่อยอดจากทุนเดิมที่สร้างไว้ในชุมชน ผ่านการหนุนเสริมกลไกการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับชุมชน มุ่งเน้นให้ผู้ด้อยโอกาสที่เป็นเยาวชนและแรงงานนอกระบบ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ สร้างความเป็นเจ้าของ และร่วมเป็นคณะทำงานในการขับเคลื่อนกองทุน และยังเกิดนวัตกรรมทางการเงินช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา (Innovative Finance) ที่นำไปสู่การมีอาชีพและโอกาสทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้น และยังเกิดผลลัพธ์คืนสู่สังคม (social return) จากความร่วมมือที่เกิดขึ้นไปได้

อิ่มบุญ อุ่นใจ ❤️ จากผู้ให้ สู้ผู้รับ เพื่อโรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร 🙂

มูลนิธิเอสซีจีและเพื่อนพนักงานเอสซีจี ร่วมเป็นตัวแทนของผู้บริจาค ในโครงการ “สะพานบุญ​ สะพานใจ: บุญ×2​ รับปีทองน้องกระต่าย” มอบเงินจำนวน​ 397,722.20 บาท​ ​ ให้แก่​โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร​ คณะแพทยศาสตร์​ศิริราชพยาบาล​ ม.มหิดล​ เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่พิการให้มีโอกาสเข้าถึงแขนขาเทียม และอวัยวะต่างๆ ที่สูญเสียไป เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีความสุข

ผู้สนใจ สามารถร่วมสนับสนุนโรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธรเพิ่มเติม ด้วยการบริจาคเงินเข้าศิริราชมูลนิธิ ธนาคารกรุงเทพ ชื่อบัญชี ศิริราชมูลนิธิ เลขที่บัญชี 901-7-071888 โดยระบุในบันทึก “กองทุนกายอุปกรณ์เพื่อผู้พิการ” หรือ “กองทุน D003366”

มูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล เพื่อส่งเสริมแนวคิด Learn to Earn เรียนเร็ว จบไว ได้งานไว

พี่แป๊ด สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

โดย รศ.นพ.รัฐพล ตวงทอง รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลให้เกียรติเป็นตัวแทนรับมอบ ณ ห้องประชุม ปาลวัฒน์วิไชย 1 (ห้อง627) ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 6 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

มูลนิธิฯ ร่วมสร้างบุคคลากรทางการแพทย์เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการรักษา และพัฒนาด้านสาธารณสุขต่อไป

มูลนิธิเอสซีจี​ ขอขอบคุณทุกยอดบริจาค​ ในโครงการ​ “สะพานบุญ สะพานใจ: บุญ x 2 รับปีทองน้องกระต่าย” 

หลังจากการเปิดรับบริจาคโครงการ “สะพานบุญ สะพานใจ: บุญ x 2 รับปีทองน้องกระต่าย” ระหว่างวันที่ 19-31 ธันวาคม 2565 นั้น

ได้มียอดบริจาคใน​ 3​ โครงการ​ รวมทั้งสิ้น​ 696,992.10​ บาท

ซึ่งมูลนิธิเอสซีจี​ สมทบอีก​ 1​ เท่า​ รวมเป็น​เงินทั้งสิ้น​ 1,393,984.20 บาท

โดยสามารถติดตามความคืบหน้าการบริจาค​ ได้ที่​ www.scgfoundation.org​ รวมทั้งช่องทางต่างๆของมูลนิธิเอสซีจี​ และเพจ​ “ปันโอกาส” 

เราขอสวัสดีปีใหม่​ 2566​ ให้ปีนี้เป็นปีกระต่ายทองของทุกท่าน​ และร่วมอนุโมทนาบุญนี้ด้วยกันกับทุกท่าน

ปันโอกาสโรงเรียนต้องรอด

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับเพื่อนพนักงานเอสซีจีจิตอาสาจัดกิจกรรม ‘ปันโอกาสโรงเรียนต้องรอด’ เพื่อให้คุณครูและเด็กๆ มีสุขอนามัยที่ดี แข็งแรง และรอดพ้นจากโควิด-19 ที่กลับมาอีกระลอก

จากความห่วงใยของเพื่อนพนักงานเอสซีจีจิตอาสาที่อยากเห็นเด็กๆ ไปโรงเรียนอย่างมีความสุข จึงรณรงค์ให้น้องๆ เห็นความสำคัญของการดูแลตนเอง พร้อมทั้งยังร่วมมือร่วมใจกันปรับปรุงพื้นที่โรงเรียน โรงอาหาร ห้องน้ำ จัดกิจกรรมส่งมอบพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงมอบวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น​ อาทิเช่น อ่างล้างมือ​ เครื่องกรองน้ำ เจลแอลกอฮอล์ ที่ตรวจ ATK รวมถึงทำป้ายให้ความรู้กับเด็กๆ ในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อพร้อมรับมือและต่อสู้กับไวรัสตัวฉกาจ ที่กำลังกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง

 โครงการปันโอกาสโรงเรียนต้องรอด ได้ดำเนินการส่งมอบไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 6 จังหวัด ได้แก่ 

  1. โรงเรียนบ้านคำบอนคุรุราษฎร์บำรุง​ จ.ขอนแก่น​ โดยเพื่อนพนักงาน SCGP
  2. โรงเรียนบ้านชายคลอง​ จ.นครศรีธรรมราช โดยเพื่อนพนักงานปูนทุ่งสง
  3. โรงเรียนชุมชนบ้านสา โรงเรียนบ้านสาแพะ และ​โรงเรียนบ้านแป้น จ.ลำปาง โดยเพื่อนพนักงานปูนลำปาง 
  4. โรงเรียนราชนันทาจารย์ สามเสนวิทยาลัย​ 2​ กรุงเทพมหานคร โดยเพื่อนพนักงานเอสซีจี CA
  5. โรงเรียนวัดมาบข่า(มาบข่าวิทยาคาร)​ จ.ระยอง โดยเพื่อนพนักงาน SCGC
  6. โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม จ.สระบุรี โดยเพื่อนพนักงาน CBM

เพื่อเด็กๆ และคุณครู จะได้ปลอดภัยมูลนิธิเอสซีจีเชื่อว่าพลังแห่งความร่วมมือของชาวเอสซีจีจิตอาสาครั้งนี้​ จะช่วยให้ทุกคนในโรงเรียนปลอดภัยและห่างไกลจากโควิด-19 รวมถึงโรคอุบัติใหม่อื่นๆ​ ที่อาจมีในอนาคต​

สะพานบุญ สะพานใจ: บุญ x 2 รับปีทองน้องกระต่าย

ส่งท้ายปีด้วยกิจกรรมดีๆ ที่อยากชวนมาร่วมบุญกัน

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญชวนร่วมส่งต่อความรักกำลังใจ แถมลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า
โดยสามารถเลือกบริจาคง่ายๆ ผ่าน e-donation เพื่อช่วยเหลือได้ใน 3 โครงการ ดังนี้

  1. โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล
    • เพื่อช่วยเหลือผู้พิการที่ยากไร้และด้อยโอกาสให้ได้รับอุปกรณ์ อาทิ แขนเทียม ขาเทียม และการรักษาที่มีคุณภาพ
  2. มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก
    • เพื่อช่วยเหลือเด็กขาดโอกาส ที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดให้ได้รับการผ่าตัด กลับมาใช้ชีวิต ที่อย่างสดใส มีคุณภาพ
  3. ทุนการศึกษาผู้ช่วยพยาบาล สร้างโอกาสสร้างอาชีพ เรียน 1 ปีจบได้งานทำ
    • มอบทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้น ไม่มีภาระผูกพัน จบหลักสูตร ประกอบอาชีพได้ทันที

!!!ทุกการบริจาคมูลนิธิเอสซีจีจะร่วมสมทบอีก 1 เท่าจากยอดบริจาค!!!!

มาร่วมทำบุญรับปีใหม่ 2566 แล้วยังได้ลดหย่อนภาษีปลายปี 2565 กับเรา กันนะคะ

ร่วมบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้- 31 ธ.ค. 65 ผ่าน Platform “สะพานบุญ สะพานใจ” โดยมูลนิธิเอสซีจี https://www.scgfoundation.org/meritbridge/
สอบถามข้อมูล : 02-586-5506

เยาวชนปล่อยพลังสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะ ในโครงการ Young Thai Artist Award 2022 โดย มูลนิธิเอสซีจี รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

ศิลปะ เป็นผลงานที่เกิดจากการสร้างสรรค์ความงาม เพื่อฟื้นฟูจิตใจและจรรโลงสังคมให้ดำรงอยู่อย่างมีความสุข เวทีประกวดศิลปะจึงถือเป็นพื้นที่ที่สำคัญเพื่อเปิดโอกาสและสนับสนุนส่งเสริมให้เยาวชนมีพื้นที่แห่งการพัฒนาความคิด เทคนิค ทักษะฝีมือ ตามความคิดสร้างสรรค์ของตนเองอย่างอิสระ อันนำไปสู่การเติบโตเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมระดับนานาชาติต่อไป

มูลนิธิเอสซีจีเห็นความสำคัญของการประกวดศิลปะระดับเยาวชน จึงได้ดำเนินโครงการรางวัล  ยุวศิลปินไทย หรือ Young Thai Artist Award มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 เพื่อสนับสนุน ส่งเสริมให้เยาวชนอายุ 18 – 25 ปีจากทั่วประเทศ ที่มีความสามารถด้านศิลปะจำนวน 6 สาขาได้แก่ สาขาศิลปะ 2 มิติ  ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี ได้สร้างสรรค์ผลงานส่งเข้าร่วมประกวด 

โครงการนี้ฯ ได้รับความร่วมมืออันดีจากคณะผู้ร่วมจัดงานทุกฝ่าย อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ตลอดจนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่สำคัญแห่งการเจียระไนเพชรน้ำงาม สร้างศิลปินรุ่นเยาว์ให้เติบโตบนเส้นทางศิลปะ ซึ่งการันตีคุณภาพด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นที่ยอมรับสมกับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และถือว่าเป็นเวทีการประกวดศิลปะระดับเยาวชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

เชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “มูลนิธิฯ ขอแสดงความยินดีกับน้องๆ ยุวศิลปินทุกคนที่ได้รับรางวัลในปีนี้ สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจะได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีเพื่อรับพระราชทานถ้วยรางวัล พร้อมรับเงินรางวัลจากมูลนิธิฯ ส่วนน้องๆ ยุวศิลปินที่ได้รับรางวัล Jury’s Mention Prize และรางวัลดีเด่นทุกสาขาจะได้รับเงินรางวัลและถ้วยรางวัลจากมูลนิธิฯ และขอขอบคุณคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่มาร่วมกันทำให้เวทีแห่งนี้เป็นเวทีการประกวดศิลปะระดับสากลสำหรับเยาวชน มูลนิธิฯ ยังคงมุ่งสร้างพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงผลงานอันสะท้อนถึงพลังของศิลปินรุ่นใหม่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้อง ๆ ยุวศิลปินจะหมั่นฝึกฝนพัฒนาฝีมือเพื่อให้ก้าวสู่ศิลปินไทยที่สามารถยืนอยู่บนเวทีระดับโลกได้อย่างองอาจและภาคภูมิ”

ณัฐธิดา ไพโรจน์ ผู้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม สาขา วรรณกรรม ประจำปี 2565 เจ้าของผลงานกวีนิพนธ์ “ปรากฏกาล” กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้รางวัลว่า “รู้สึกตื่นเต้นมากและภูมิใจในผลงานของตัวเอง  ตอนแรกที่จะส่งผลงานนี้คิดเพียงแค่ว่า เราสร้างสรรค์ผลงานออกมาด้วยความสามารถของเราอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว หากผลงานไม่เข้ารอบก็ไม่เป็นไร  แต่ผลงานนี้ก็ทำให้เราได้ฝึกฝนตัวเอง ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างได้พัฒนาตังเองไปอีกก้าว ถึงแม้จะเป็นการเดินทางด้วยก้าวเล็กๆ แต่ก็เป็นก้าวจากความพยายามและเป็นประสบการณ์ที่มอบให้กับตัวเอง ที่ตัดสินใจประกวดเวทีนี้เพราะมองว่าเป็นเวทีในระดับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรรค์ผลงานได้อย่างอิสระ ไม่จำกัดผลงานในมุมมองใดมุมมองหนึ่ง ทำให้คิดว่าสามารถสร้างสรรค์ผลงานในฉบับของตัวเองได้อย่างเต็มที่  ในอนาคตก็ยังอยากสร้างสรรค์งานเขียนพร้อมๆกับการเรียนรู้งานเขียนในประเภทต่างๆที่ตัวเอง เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น ต่อไปเพื่อเป็นนักเขียนที่มีคุณภาพในวงการวรรณกรรม”

ต่วนยัชตาน แซแร ผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ ประจำปี 2565 เจ้าของผลงาน “โอรังอีซัง” กล่าวเสริมว่า “ที่สนใจส่งผลงานเข้าประกวดเพราะเวทีนี้เป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดในระดับประเทศ ถ้ามีชื่อในการเข้ารอบการประกวด เป็นการสร้างชื่อให้กับตัวเอง ยิ่งถ้าได้รับรางวัลจากเวทีนี้ ถือเป็นใบเบิกทางในการเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และถือเป็นใบรับรองในการประกอบอาชีพนี้ในอนาคตได้ สำหรับผลงานเรื่องนี้ ผมตั้งใจที่ต้องการสร้างภาพยนตร์ที่มีความซื่อสัตย์ต่อพื้นที่ สร้างความเข้าใจต่อคนนอกกับคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ แสดงถึงวัฒนธรรมที่ไหลผ่าน แลกเปลี่ยนกันไปมาและอยู่ด้วยกันอย่างเกื้อกูล .หลังจากนี้ผมคงผลิตผลงานต่อ ทำมันต่อไปเรื่อยๆ ทั้งงานที่เลี้ยงชีพและงานที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณตามแพชชั่นในชีวิตต่อไป

ด้านศาสตราจารย์อริยะ กิตติเจริญวิวัฒน์ ประธานหลักสูตรทัศนศิลป์ ภาควิชาศิลปกรรม มีเดียอาร์ตและอิลลัสเตชั่นอาร์ต คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  กรรมการตัดสินสาขา ศิลปะ 3 มิติ ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมผลงานที่ส่งเข้าประกวดปีนี้ว่า “ผลงานสาขาศิลปะ 3 มิติ ที่ส่งเข้ามาในปีนี้ ผลงานมีรูปแบบในการสร้างสรรค์ที่หลากหลายทั้งด้านเทคนิค วิธีการ และวัสดุที่นำเสนอ มีความสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สี แสงไฟหรือกลไกให้ผลงานเกิดการเคลื่อนไหวได้ น่าสนใจทุกชิ้น บ่งบอกถึงยุคสมัยปัจจุบันในการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ได้อย่างดี สำหรับผลงานสาขาอื่นๆ ในปีนี้ ผมมองว่าทุกชิ้นล้วนเป็นงานที่สะท้อนพลังความคิดของคนรุ่นใหม่ที่มีความร่วมสมัยและหลากหลาย น่าจับตามองในการทำงานต่อไปในฐานะยุวศิลปิน เชื่อว่าทุกคนสามารถพัฒนาตัวเองเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต

ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ยุวศิลปินไทยผู้ได้รับรางวัลทุกสาขา มูลนิธิเอสซีจี  จึงได้จัดแสดง 36 ผลงาน จากทั้ง 6 สาขา  ณ  ห้อง New​ Gen​ Space :​ Space ​for​ all​ Generation​  โดย มูลนิธิเอสซีจี ชั้น 3 หอศิลป​วัฒน​ธรร​มแห่ง​กรุงเทพ​มหานคร (BACC) ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 – 4 ธันวาคม 2565​ ตลอดจนจัดเสวนาเรื่อง ​“อนาคตศิลปินไทยในเวทีโลก” เพื่อให้เยาวชน ตลอดจนประชาชนผู้สนใจได้เข้าชม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ต่อยอดผลงาน และยังจัดทำนิทรรศการออนไลน์ (Virtual Exhibition) ผ่านระบบมัลติมีเดีย แบบ 360 องศา ที่คมชัดทั้งภาพ และเสียงที่ผู้ชมเสมือนได้อยู่ในสถานที่จริง โดยสามารถรับชมได้ที่ www.youngthaiartistaward.com ทำให้ทุกพื้นที่เป็นพื้นที่แห่งศิลปะที่ทุกคนสามารถเสพงานศิลป์ได้จากทุกมุมโลก มูลนิธิเอสซีจีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าน้องๆ ยุวศิลปินไทยทุกคนจะเติบโตเป็นศิลปินที่มีคุณภาพ มีโอกาส เรียนรู้เพื่ออยู่รอด และพัฒนาศักยภาพจนประสบความสำเร็จเติบโตเป็นศิลปิน และก้าวสู่เวทีที่ยิ่งใหญ่ระดับสากลต่อไป เพราะ มูลนิธิเอสซีจี เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจีเปิดมุมมองใหม่ให้เด็กไทยรู้ลึก รู้จริง แนะนำสายอาชีพในวงการอีสปอร์ต

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอีสปอร์ต (Esports) มีการเติบโตขึ้นมาก ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ โดยในประเทศไทยได้ประกาศให้กีฬาอีสปอร์ตเป็นกีฬาอาชีพเมื่อปี พ.ศ.2564 มูลนิธิเอสซีจีเล็งเห็นความสำคัญและมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพของเยาวชน ตามแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด จึงร่วมสนับสนุนการพัฒนาทักษะ และผลักดันอาชีพอีสปอร์ตให้เยาวชน Gen Z ได้มีทางเลือกที่หลากหลาย สามารถหางานทำได้อย่างมั่นคงจากอาชีพนี้ ตลอดจนก้าวไปถึงการเป็นตัวแทนประเทศเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีโลกต่อไป

จับมือทีม KOG เดินสายให้ความรู้พร้อมการปฏิบัติจริง

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับทีม King Of Gamers Club (KOG) สโมสร คิง ออฟ เกมเมอร์ คลับ สโมสรกีฬาอีสปอร์ตระดับอาชีพ ร่วมกันดำเนินการจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต (Tournament School Project)  ในสถานศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา จำนวน 18 แห่ง โดยจัดแข่งขันเกม RoV เพื่อให้เยาวชนได้รู้จักอาชีพอีสปอร์ต และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงทักษะการจัดการแข่งขัน ตลอดจนแนะนำหลักสูตรการเรียนต่อสายอาชีพนี้ในระดับมหาวิทยาลัย 

กิจกรรมที่จัดขึ้น ไม่ได้เป็นการจัดบรรยายตามปกติทั่วไป แต่เป็นการให้ความรู้ในรูปแบบของการ Learning by Doing โดยร่วมมือกับทางโรงเรียนที่ไปจัดกิจกรรม คัดสรรนักเรียนที่มีความสนใจในกีฬาอีสปอร์ตเพื่อจัดโปรเจ็คทัวร์นาเม้นต์ในโรงเรียน ให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์จริงจากการแข่งขัน ช่วยค้นหาตัวตนและความชอบ ความถนัดของตนเอง จุดประกายความฝัน สร้างแรงบันดาลใจและเปิดมุมมองใหม่ให้กับเยาวชน ตลอดจนผลักดันวงการกีฬาอีสปอร์ตสู่ระดับสากล 

เดินหน้าจัดกิจกรรมตามโรงเรียน

มูลนิธิฯ และทีม KOG มีแผนจะดำเนินการจัดกิจกรรมการแข่งขันเกม RoV ในโรงเรียนจำนวน 18 แห่ง ขณะนี้ได้จัดไปแล้วประมาณ  6 แห่ง  ได้แก่ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม โรงเรียนบางพลีราษฎร์บำรุง โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ เบญจมราชาลัย  โดยกิจกรรมนี้จะดำเนินการไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2566

ฝึกความสามัคคีและมีวินัย

วัฒน์ชรินทร์ บุญประเสริฐ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ทางมูลนิธิเอสซีจีมาจัดกิจกรรมแข่งอีสปอร์ตที่โรงเรียน เพราะทำให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ได้ฝึกความสามัคคี และความมีวินัย การตรงต่อเวลาในการแข่งขัน ส่วนตัวแล้วประทับใจในกิจกรรมที่ทำให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพด้านอีสปอร์ต นอกจากนี้ยังเชื่อว่าอีสปอร์ตสามารถต่อยอดไปได้หลากหลายอาชีพ  คนที่ยังเรียนอยู่ก็จะต้องแบ่งเวลาให้ดีระหว่างการเรียนกับการฝึกซ้อม สำหรับครอบครัวของตนเองนั้น ให้การสนับสนุนการเข้ามาสู่เส้นทางอีสปอร์ตอย่างเต็มที่ บอกขอแค่อย่าทิ้งการเรียนเท่านั้น และสำหรับอนาคตนั้นก็ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ในวงการอีสปอร์ตอย่างเต็มตัว

อยากให้จัดกิจกรรมอีกเพื่อสานต่อทีมให้กับรุ่นน้อง 

ฐิติพงศ์ พันธ์ปิ่น นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง  กล่าวว่า การที่มูลนิธิเอสซีจีมาจัดกิจกรรมนี้ ทำให้ทั้งนักเรียน ครูอาจารย์รวมถึงผู้ปกครอง มีความเข้าในใจกีฬาอีสปอร์ตมากขึ้น และยังทำให้นักเรียนที่เป็นนักกีฬาอยู่แล้ว ได้นำเงินรางวัลมาต่อยอดสร้างประสบการณ์แข่งขันในเวทีอื่นๆ  ซึ่งในส่วนของตนเองนั้น ได้เข้ามาคลุกคลีกับอีสปอร์ตมาปีกว่าแล้ว มองว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แล้วยังมีโอกาสมีรายได้จากเงินรางวัลหากแข่งขันชนะ ซึ่งผลการแข่งขันที่ผ่านมา มีทั้งแพ้และชนะ และในอนาคตหากมีโอกาส ก็อยากเข้ามาอยู่ในวงการอีสปอร์ตแบบเต็มตัว

“อยากให้มูลนิธิเอสซีจี มาจัดกิจกรรมแบบนี้ที่โรงเรียนอีก เพราะจะได้มีคนช่วยสานต่อทีมของโรงเรียนซึ่งตอนนี้ก็จะเป็นนักกีฬารุ่นน้องๆ ได้มีโอกาสเข้ามาสู่วงการอีสปอร์ตเหมือนกับตนเองด้วย”

ลงมือทำและตั้งใจจริงจัง เพื่อไปให้ถึงฝัน

พีรเดช อนุภาพยุทธชัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม กล่าวถึงการจัดกิจกรรมของมูลนิธิเอสซีจีและทีม KOG ที่โรงเรียนว่า ในมุมของตนซึ่งมีประสบการณ์การแข่งขันมาหลายปีแล้วนั้น มองว่าการมาจัดกิจกรรมนี้เป็นการให้ความสำคัญกับนักกีฬาและยังเปิดประสบการณ์ให้กับนักเรียนที่ลงแข่ง รวมถึงนักเรียนที่ร่วมทำภารกิจการจัดทัวร์นาเมนต์นี้ ได้รู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับวงการอีสปอร์ตมากขึ้น 

สำหรับตัวเองนั้น เข้ามาสู่วงการอีสปอร์ตเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา เริ่มเล่นพร้อมกับการเปิดตัวเกม RoV โดยที่ผ่านมาได้มีประสบการณ์ไปแข่งทัวร์นาเมนต์เล็กๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไปได้ไม่ไกลมากนัก และมองว่าหากมีโอกาสก็อยากจะพัฒนาตัวเองไปให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ 

“อยากฝากถึงน้องๆ ที่ก้าวมาสู่วงการอีสปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาหรือทำงานเบื้องหลัง ขอให้ทำอย่างเต็มที่ และให้สนุกกับสิ่งที่ทำ เพราะอะไรที่ทำแล้วสนุกก็จะทำได้ดีและไปได้ไกล  ฝันของแต่ละคนก็จะเป็นจริงได้ในที่สุด” นายพีรเดชสรุป

นักเรียนมีเป้าหมายด้านอีสปอร์ตชัดเจนขึ้น 

  นฤนาท ฉ่ำทวี อาจารย์วิชาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวง เจ้าของโปรเจ็คกีฬาอีสปอร์ตของทางโรงเรียนกล่าวว่า การที่มูลนิธิเอสซีจีเข้ามาจัดกิจกรรม เป็นการส่งเสริมให้เด็กที่มีความสามารถด้านอีสปอร์ตได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น และทำให้เป้าหมายของเด็กกลุ่มนี้มีความชัดเจนมากขึ้น   จากปกติที่ตนเองเป็นคนทำโปรเจ็คอีสปอร์ตของทางโรงเรียนมานานประมาณ 3 ปี ที่ผ่านมาก็สามารถส่งทีมไปแข่งขันภายนอกได้บ้าง แต่การจัดกิจกรรมจากหน่วยงานภายนอก สามารถสร้างความกระตือรือล้นและความสนใจจากนักเรียนได้ดีกว่า เพราะมีแรงจูงใจมากกว่า ทั้งรูปแบบการจัดแข่งและรางวัล รวมถึงยังมีการสอนนักเรียนเกี่ยวกับอาชีพที่มีอยู่อย่างหลากหลายในวงการอีสปอร์ต  หากมองในภาพรวมแล้ว เด็กนักเรียนยุคนี้มีทัศนคติที่ดีต่ออีสปอร์ตอยู่แล้ว และความหลากหลายของอาชีพในวงการอีสปอร์ต ตลอดจนความมั่นคงในอาชีพเหล่านั้น น่าจะเป็นตัวดึงดูดความสนใจจากเด็กนักเรียนได้มากพอสมควร

ความคืบหน้าของกิจกรรม 

  สุวิมล จิวาลักษณ์  กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า อาชีพในวงการอีสปอร์ต เป็นอาชีพใหม่ที่มีความก้าวหน้ามีโอกาสเติบโตและมีความมั่นคงไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ การที่ทางมูลนิธิฯ จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยสร้างความรู้และความเข้าใจในกีฬาอีสปอร์ต เพื่อให้ทุกฝ่ายเปิดใจและรับรู้ไปพร้อมๆ กันว่า การเข้ามาสู่วงการอีสปอร์ตนั้นจะทำอะไรได้บ้างในอนาคตของเยาวชนเหล่านี้ รวมถึงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่า การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตไม่ใช่เรื่องของเด็กเล่นเกม แต่สามารถทำเป็นอาชีพเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้จริงๆ และในปัจจุบันในหลายมหาวิทยาลัยก็เปิดสอนหลักสูตรอีสปอรต์เพื่อรองรับความต้องการของตลาด เพื่อให้เด็กไทยได้มีทางเลือกเพื่ออยู่รอดต่อไป

จากความพยายามให้ความรู้ด้านอีสปอร์ตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปัจจุบันหลายคนเริ่มมีความเข้าใจในอีสปอร์ต และมองอีสปอร์ตในแง่บวกแทนการมองว่าเป็นเรื่องของคนติดเกมแบบในอดีต รวมถึงผู้ปกครองของนักกีฬาอีสปอร์ตที่อยู่ในวัยเรียนหลายคนก็ได้เปิดใจกว้าง ยอมรับกีฬาประเภทนี้และยอมรับถึงความชอบและความสามารถของบุตรหลานตนเองในกีฬาอีสปอร์ต เชื่อได้ว่าเป็นแนวทางการส่งเสริมกีฬาอีสปอร์ตที่มาได้ถูกทาง และเชื่อว่าจะสามารถผลิตนักกีฬาอีสปอร์ตรวมถึงสายอาชีพอื่นในวงการอีสปอร์ตที่มีคุณภาพให้กับวงการอีสปอร์ตในประเทศไทย เพื่อก้าวไปสู่ผู้นำในกีฬาอีสปอร์ตได้ในเร็ววันนี้

เรื่องกิน…เรื่องใหญ่ และสุขอนามัยของน้องๆ คือสิ่งที่มูลนิธิเอสซีจีใส่ใจ

มูลนิธิเอสซีจี นำโดยพี่รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส  ประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี พร้อมพี่ๆ ผู้บริหาร และทีมงานจิตอาสาจากปูนทุ่งสง ส่งมอบโรงอาหาร ณ ร.ร.บ้านชายคลอง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ภายใต้โครงการปันโอกาส “โรงเรียนต้องรอด”

เพราะเราอยากเห็นเด็กน้อยและคุณครูมีโรงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ  สะอาด ปลอดภัย ตรงตามมาตรฐานสุขาภิบาลโรงอาหารในสถานศึกษา จึงได้ร่วมกันกับโรงเรียน ชุมชน หน่วยงานภาครัฐของทุ่งสง และเพื่อนๆ พนักงานเอสซีจี ช่วยกันคิด ช่วยกันออกแบบ เพื่อให้โรงอาหารนี้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานจริง และหวังว่าน้องๆ จะชอบโรงอาหารที่ปรับปรุงใหม่นี้ และมีความสุข กินไป ยิ้มไป ปลอดภัย ปลอดโรค

ส่งความช่วยเหลือและกำลังใจให้พี่น้องที่ประสบอุทกภัยในหลายพื้นที่

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบอุทกภัยในหลายพื้นที่ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในยามวิกฤต และร่วมส่งกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นอุทกภัยครั้งนี้ในเร็ววัน โดยความช่วยเหลือมีดังนี้

  1. มอบ​สุขากระดาษ ให้​กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)​ จำนวน 500 ชุด เพื่อนำส่งมอบต่อให้ถึงมือผู้ประสบภัยในพื้นที่ จ.อยุธยา และ จ.ปทุมธานี
  2. ร่วมกับเพจอีจัน และมูลนิธิเพชรเกษม ส่งข้าวสาร 20 กระสอบ  น้ำดื่ม 1,200 ขวด เนื้อสัตว์ 80 กิโลกรัม ไข่ไก่ 1,200 ฟอง ให้โรงครัวประกอบอาหารในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ (ทีม CPAC ภาคอีสาน ช่วยขนส่งและลงพื้นที่)
  3. ร่วมกับ SCG North East Chain กองทัพภาคที่ 2 และ ปภ.ส่งสุขากระดาษ 700 ชุด แจกจ่ายประชาชนที่น้ำท่วมขังสูง จ.อุบลราชธานี และจังหวัดใกล้เคียง
  4. ร่วมกับสำนักจุฬาราชมนตรี ช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ โดยส่งสิ่งของจำเป็น เช่น ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ ข้าวสาร น้ำดื่ม และไข่ไก่ เป็นต้น ให้กับพื้นที่ กทม. ที่ยังมีหลายพื้นที่น้ำท่วมขัง มีชุมชนหลายที่ได้รับผลกระทบ เช่นเขตหนองจอก เขตลาดกระบัง เป็นต้น

ส่งกำลังใจ นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจีคนเก่ง สู้ศึกการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 46 (WorldSkills Competition 2022 Special Edition)

คณะกรรมการมูลนิธิเอสซีจี พบปะ-ให้โอวาทนักเรียนทุนฯ ที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 46 (WorldSkills Competition 2022 Special Edition) ใน 4 สาขา ได้แก่

  • สาขาการออกแบบเกมสามมิติ
  • สาขาการประกอบอาหาร
  • สาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม
  • สาขาการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ

โดยนักเรียนทุนกลุ่มนี้ จะเดินทางไปร่วมแข่งขันในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึง

ครอบครัวมูลนิธิเอสซีจีขอส่งกำลังใจ ให้ ทุกคนได้ทำอย่างสุดความสามารถ

ความร่วมมือเพื่อสร้างและพัฒนาช่างสมัยใหม่ ในโครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนเก่ง BIM”

มูลนิธิเอสซีจี จับมือ บริษัทผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) และวิทยาลัยเทคนิคดุสิต ปั้น BIM Modeler บุคลากรด้านการออกแบบและก่อสร้างยุคดิจิทัล โดยลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร ในโครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนเก่ง BIM” มุ่งสร้างสกิลให้น้องๆ นักเรียนสาขาช่างก่อสร้าง และสถาปัตยกรรม (นำร่องที่วิทยาลัยเทคนิคดุสิต) เป็นช่างสมัยใหม่มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยี และช่วยเตรียมความพร้อมให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ เชื่อว่าน้องๆ ที่ได้เข้าร่วมโครงการ ฝึกฝน BIM จนเชี่ยวชาญ จะต้อง work และ win เรียนจบไว ได้งานเร็ว ตามแนวทาง “Learn To Earn – เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” แน่นอน

สนับสนุนทุนการศึกษา​ให้กับน้องๆคนเก่งและดี จากรายการเก่งจริงชิงค่าเทอม

คุณสุวิมล​ จิ​วา​ลักษณ์ กรรมการ​และ​ผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ มอบทุนการศึกษา​ให้กับน้องๆเยาวชน​ที่เป็​นคนเก่ง​และดี​ มีความรู้​ และศักยภาพ​ ที่สามารถ​ทำแจ๊คพอต​แตกในรายการ​ #เก่งจริงชิงค่าเทอม ทางช่อง​ one​ 31 ​โดยมีคุณธงชัย​ ประสงค์​สันติ คุณ​แชมป์​ ผู้ดำเนินรายการ​ และ​ ผศ.รัชด ชมภูนิช​ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตและพัฒนาอย่างยั่งยืน​ มหาวิทยาลัย​เกษตร​ศาสตร์​ให้เกียรติ​เป็นผู้รับมอบ

เพราะ​การให้​โอกาส​ทางการ​ศึกษา​ คือ​ การพัฒ​นา​คนอย่างยั่งยืน

“โรงเรียนต้องรอด” ขอนแก่น ความร่วมมือจากพนักงานจิตอาสา SCGP

ด้วยแนวคิด ที่อยากจะพัฒนาและส่งเสริมสถานศึกษาให้อยู่อย่างปลอดโรค ปลอดภัย เด็กๆ ได้มีสาธารณูปโภคที่ถูกต้องตามหลักสุขอนามัย เพื่อลดการเกิดโรคและการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ รวมถึงโรคอุบัติใหม่ๆ ที่อาจขึ้นได้ทุกเมื่อ จึงเป็นที่มาให้พี่น้องจิตอาสา SCGP ที่ บริษัท ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการ​ปันโอกาส “โรงเรียนต้องรอด” ​ ที่ รร.บ้านคำบอนคุรุราษฎร์บำรุง​ จ.ขอนแก่น​ แห่งนี้

ด้วยแรงกายและความตั้งใจ ของเพื่อนพนักงานจิตอาสา ที่ร่วมกันปรับปรุงห้องพยาบาล โรงอาหาร อ้างล้างมือ ตู้แช่นม รวมทั้งตู้น้ำดื่ม ที่จะช่วยให้เด็กๆ มีสุขอนามัยที่ดี ลดความเสี่ยงของแหล่งบ่อเกิดของโรคต่างๆ ขอขอบคุณทุกความร่วมมือร่วมใจและร่วมแรง

เพราะเราเชื่อว่า “นักเรียนรอด คุณครูรอด โรงเรียนก็ต้องรอด”

“กองทุน​สัมมาชีพ” เพื่อ​การสร้างอาชีพ​อย่าง​ยั่งยืน

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​นำโดย​ คุณวรพล​ เจนนภา เลขานุการ​และกรรมการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี และคุณสุวิมล​ จิ​วา​ลักษณ์ กรรมการ​และ​ผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ ​ ลงพื้น​ที่​เยี่ยม​ชมและติดตาม​การทำงาน​กองทุน​สัมมาชีพ​ และกองทุน​ช่วยเหลือ​ผู้​ประสบ​ภัยโควิด​ ต.บ้านช่อง​ฟืน​ อ.ปากพยูน จ.พัทลุง​ ที่มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ให้งบประมาณ​สนับสนุน​ในการก่อตั้งกองทุน​ในการสร้างงาน​ สร้าง​อาชีพ​ สร้าง​รายได้​ใน​ชุมชน​ให้ทุกคน​สามารถ​พึ่งตนเอง​และอยู่​รอดได้ในชุมชน

เพราะ​การให้​อาชีพ คือ​การให้​ที่​ยั่งยืน

ส่งมอบพลังใจผ่านรถเข็นวีลแชร์ให้น้องๆ​ ผู้พิการที่ยากไร้

มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมส่งมอบ​ “รถเข็นวีลแชร์เพื่อน้อง” แก่​มูลนิธิคนพิการไทย​ จำนวน 20 คัน​ เพื่อให้น้องๆ ที่ยากไร้ ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองและอยู่รอดอย่างยั่งยืน โดยพี่ๆ​ คณะทำงานและทีมงานมูลนิธิเอสซีจี​ยังได้ลงมือประกอบรถวีลแชร์จำนวนหนึ่งให้น้องๆ​ ด้วย

มูลนิธิคนพิการไทย​ เป็นองค์กรเพื่อคนพิการโดยคนพิการ​ ได้รับการประกาศเป็นองค์กรหรือสถานสาธารณกุศล​ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อติดต่อประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ​ ทั้งภาครัฐ และเอกชน​ในการให้ความช่วยเหลือ​ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต​คนพิการให้ดีขึ้น​ รวมทั้งให้การส่งเสริมและ​สนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้พิการทั่วประเทศ​ และ 1​ ในโครงการเหล่านั้นคือ​ “วีลแชร์เพื่อน้อง”​ เพื่อจัดหาทุนในการมอบรถวีลแชร์และวีลแชร์ปรับเอนนอนแก่คนพิการทั่วประเทศ

น้ำจากใจ แทนความห่วงใย ผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.ระยอง

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมมอบน้ำดื่มจำนวน 3,600 ขวด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยมี SCGC ดำเนินการจัดหาและนำมอบให้ “โรงครัวอีจัน” ได้อย่างรวดเร็วและทันถ่วงที เพื่อนำความห่วงใยนี้ส่งต่อให้กับชาวบ้านที่ประสบภัยต่อไป ถึงแม้หลายพื้นที่จะน้ำลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีอีกในหลายพื้นที่ ที่ยังคงวิกฤติ

เราขอร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยผ่านพ้นวิกฤตินี้ได้ในเร็ววันนะคะ

แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

มูลนิธิเอสซีจี​ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมบุคลากรสายนโยบายสังคม กองยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เห็นแนวทางการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติฉบับ 13 เพื่อทิศทางและการวางแผนดำเนินงานในอนาคตที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศขอขอบคุณทีมจาก​สภาพัฒน์ฯ ที่ร่วมแบ่งปันให้เราอย่างเต็มที่​ เพื่อจะนำข้อมูลไปเป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อสังคมต่อไป

ร่วมยินดีกับความสำเร็จของวงดุริยางค์ฟีลฮาโมนิกแห่งประเทศไทยในเทศกาลระดับโลก 70th​ Festival LJUBLJANA ณ สาธารณรัฐสโลวีเนีย

มูลนิธิเอสซีจี​ ร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของ​วงดุริยางค์ฟีลฮาโมนิกแห่งประเทศไทย (Thailand Philharmonic Orchestra)​ ในการร่วมแสดงดนตรีในงานเทศกาลดนตรีลูบลิยานา​ ครั้งที่ 70 (70th​ Festival LJUBLJANA)​ ณ Cankarjev dom​ สาธารณรัฐสโลวีเนีย​ เมื่อวันที่​ 29 สิงหาคม​ ที่ผ่านมา​ ในนามผู้สนับสนุน นำโดยคุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหาร, คุณสุวิมล​ จิวาลักษณ์​ กรรมการและผู้จัดการ พร้อมคณะ เข้าร่วมชมคอนเสิร์ต พร้อมแสดงความยินดีกับ​ ดร.ณรงค์​ ปรางค์เจริญ​ คณบดี​ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์​ ม.มหิดล​ และผู้อำนวยการวง​ ในการร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ในยุโรปที่มีชื่อเสียงระดับโลกครั้งนี้

(ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจากเพจ​ Thailand​ Philharmonic​ Orchestra)​

เยี่ยมวิทยาลัยเทคนิคโพธาราม จ.ราชบุรี และน้องๆ นักเรียนทุน Sharing the Dream

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ตรวจเยี่ยมวิทยาลัยเทคนิคโพธาราม ซึ่งเป็นสถานศึกษาภายใต้โครงการกองทุนการศึกษา ซึ่งมูลนิธิเอสซีจี ให้การสนับสนุนทุน Sharing the Dream แก่นักเรียนขาดแคลนในพื้นที่ชายขอบ จ. ราชบุรี เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้เรียนอาชีวะ สร้างทักษะอาชีพ อันจะนำไปสู่การเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว ตามแนวคิด “Learn to earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” ซึ่งในโอกาสนี้ พี่ๆ มูลนิธิเอสซีจี ได้เยี่ยมพบปะน้องๆ นักเรียนทุนของเราด้วย

เริ่มแล้วที่แรก …“โรงเรียนต้องรอด” ที่ จ.สระบุรี

ร่วมติดตามโครงการดีๆ ที่มาจากความตั้งใจของพี่น้องชาวเอสซีจีที่มีจิตอาสา ซึ่งตั้งใจนำความรู้และประสบการณ์ที่มี มาร่วมแบ่งปันความรู้ และพัฒนาแนวความคิด ด้าน soft​ side ให้กับคุณครูโรงเรียนสระบุรีวิทยาคม เพื่อทำให้ “โรงเรียนต้องรอด ” ในสถานการณ์เช่นปัจจุบันนี้ 

ขอขอบคุณในน้ำใจพี่น้องชาวเอสซีจี ที่ตั้งใจ ผลักดัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

ส่งความห่วงใย ถึงผู้ประสบภัย ผ่านต้นกล้าชุมชน

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมมือกับเครือข่าย​ ร่วมกันมอบถุงยังชีพให้พี่น้อง ชุมชนตำบลศิลา​ ที่ประสบน้ำท่วมจากน้ำป่าไหลหลากอย่างเฉียบพลัน ในพื้นที่​ ตำบลศิลา อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ขอขอบคุณพี่ดิว เครือข่ายต้นกล้าชุมชน ที่เป็นสะพานบุญช่วยส่งต่อความห่วงใยจากเราไปถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว

“รางวัลคุณธรรม” พลังแห่งการร่วมกันต่อยอดความดี

มูลนิธิเอสซีจี โดยคุณภรัณยุ จุฑาสันติกุล ผู้ช่วยกรรมการและผู้จัดการอาวุโส รับมอบรางวัลคุณธรรม ประเภทจิตสาธารณะ จากคุณอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งจัดโดย ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และโอกาสนี้ ได้ร่วมแสดงความยินดีกับ คุณประเชิญ คนเทศ เครือข่ายนักพัฒนาชุมชนมูลนิธิลุ่มน้ำท่าจีนนครปฐม และ​น้องโย -​ โยธิน บุญยงค์ รุ่นพี่นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี ที่ได้รับรางวัลคุณธรรม ประเภทบุคคล

ประสานความร่วมมือ ช่วยเหลือพี่น้องชาวเพชรบูรณ์

มูลนิธิเอสซีจี มอบข้าวสาร 1,000 กก. น้ำดื่ม 8,400 ขวด ไข่ไก่ 40 แพ็ค ให้โรงครัวอีจัน เพื่อปรุงอาหารสดใหม่ ให้พี่น้องชาวเพชรบูรณ์ที่ประสบภัยน้ำท่วม

โดยมีผู้แทนจำหน่ายวัฒนชัยหล่มสัก ช่วยสนับสนุนรถ 6 ล้อและไข่ไก่อีก 50 แพ็ค แม้ว่าตอนนี้น้ำจะเริ่มลดแล้ว แต่สภาพบ้านเรือนยังคงเสียหาย พี่น้องยังคงลำบากและเดือดร้อน บางครอบครัวไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้ ทั้งนี้หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยได้ช่วยนำรถมารับอาหารจากโรงครัวนี้ไปแจกจ่ายอย่างทั่วถึง

(ขอขอบคุณภาพจากเฟสบุ๊คเพจอีจัน)

มูลนิธิเอสซีจีเปิดโอกาส รับคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างเป็นนักพัฒนาชุมชนรุ่นใหม่

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญคนรุ่นใหม่หัวใจคืนถิ่นที่อายุ 22-35 ปี มีศักยภาพและความกล้ากลับมาพัฒนาบ้านเกิดให้มีความเข้มแข็งเข้าร่วมโครงการ “ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 6” โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเป็น ‘ต้นกล้าชุมชน’ ต้องดำเนินโครงการตามที่ถนัดและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในชุมชน ภายใต้การดูแลและแนะนำจากพี่เลี้ยงที่เป็นนักพัฒนามืออาชีพในท้องถิ่น ตลอดจนเข้าร่วมหลักสูตรพัฒนาศักยภาพตามที่มูลนิธิฯ กำหนด เพื่อฝึกฝนพัฒนาความรู้ ความสามารถพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างงาน  สร้างอาชีพ พัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และทุนทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป

เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ – 30 กันยายน 2565

ประกาศผลคัดเลือกเดือน ตุลาคม 2565

รายละเอียดโครงการ คลิก

แบบฟอร์มใบรับสมัครต้นกล้าชุมชนรุ่นที่ 6 คลิก

ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ​มูลนิธิเขื่อนยันฮี​ อีก​ 1​ กัลยาณมิตร​การทำงานเพื่อสังคม

ตัวแทนคณะกรรมการเขื่อนยันฮี และผู้บริหารจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำโดย​ คุณฤดีมาส ปางพุฒิพงศ์ – กรรมการมูลนิธิฯ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานเพื่อสังคมในมิติต่างๆ กับมูลนิธิเอสซีจี สร้างโอกาสการทำงานและร่วมมือกันในอนาคต

มูลนิธิเอสซีจี และศิริราช เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงิน ผ่านโครงการ “เป๋าบุญ หนุนขา” เพื่อสมทบ “กองทุนกายอุปกรณ์เพื่อผู้พิการ”

มูลนิธิเอสซีจี × ศิริราช ผสานพลังเปิดโครงการ “เป๋าบุญ หนุนขา” ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พิการยากไร้ ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อให้ได้รับอุปกรณ์อาทิ แขนเทียม ขาเทียม และการรักษาที่มีคุณภาพ

โดยผู้บริจาคจะได้รับกระเป๋ารักษ์โลก ที่ผลิตจากถุงปูนซีเมนต์ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานเป็นของที่ระลึก (*) ทุก 500, 1,000, 2,000 บาท รับกระเป๋ารักษ์โลก 1 ใบแบบสุ่ม ตั้งแต่ 15 ส.ค. นี้ จนกว่าของที่ระลึกจะหมด 

ร่วมบริจาคได้ที่ :

– ศิริราชมูลนิธิ ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 รพ.ศิริราช และ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ชั้น G (ทุกวัน)

– บริจาคผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาศิริราช หมายเลขบัญชี 016-3-00049-4 ชื่อบัญชี ศิริราชมูลนิธิ  (ระบุ “กองทุนกายอุปกรณ์เพื่อผู้พิการ” หรือ “กองทุน D3366” )

– บริจาคผ่าน Application ธนาคารที่ท่านมีบัญชีเงินฝาก โดยสแกนผ่าน QR CODE ตามโปสเตอร์ แล้วแจ้ง ชื่อ-สกุล หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ผ่านช่องทางLine : @sirirajfoundation หรือส่งE-mail มาที่ donate_siriraj@hotmail.com เพื่อจัดส่งเอกสารการบริจาคและ/หรือกระเป๋าแก่ท่านต่อไป

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ งานประชาสัมพันธ์และกิจการพิเศษ ตึกอำนวยการ ชั้น 1 โทร. 02 419 7646 – 8

#เป๋าบุญหนุนขา

#มูลนิธิเอสซีจี

#ศิริราช

#ศิริราชมูลนิธิ

มูลนิธิเอสซีจี ผสานพลังศิริราช เปิดโครงการ “เป๋าบุญ หนุนขา” ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พิการยากไร้ ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับศิริราช เปิดโครงการ “เป๋าบุญ หนุนขา” เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบ “กองทุนกายอุปกรณ์เพื่อผู้พิการ” ในศิริราชมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือผู้พิการที่ยากไร้และด้อยโอกาสให้ได้รับอุปกรณ์อาทิ แขนเทียม ขาเทียม และการรักษาที่มีคุณภาพ

ผู้บริจาคจะได้รับกระเป๋ารักษ์โลก ที่ผลิตจากถุงปูนซีเมนต์ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานเป็นของที่ระลึก ซึ่งกระเป๋าดังกล่าวยังมากด้วยคุณค่าและความพิเศษในการช่วยสร้างโอกาสและพัฒนาทักษะอาชีพของกลุ่มคนไร้ที่พึ่ง
ที่ได้รับการส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาร่วมสร้างสรรค์
เป็นผลิตภัณฑ์สินค้าแฟชั่นรักษ์โลกตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) 

ผู้สนใจสามารถบริจาคได้ที่ศิริราชมูลนิธิ ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 รพ.ศิริราช  / รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ชั้น 2 โซน B  / บริจาคผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 0163000494 (กรุณาระบุ กองทุนกายอุปกรณ์เพื่อผู้พิการ หรือ กองทุน D3366) หรือบริจาคผ่าน Mobile Banking โดยสแกน QR Code  และติดต่อศิริราช โทร. 02 419 7646-8 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าของที่ระลึกจะหมด 

สอบถามข้อมูลได้ที่ งานประชาสัมพันธ์และกิจการพิเศษ ตึกอำนวยการ ชั้น 1 โทร. 02 419 7646 – 8

มูลนิธิเอสซีจี จับมือ GMMTV เปิดเวที “Young Survivors LEVEL UP” จัด Talk & Show ส่งท้ายรายการ “Young Survivors รุ่นนี้…ต้องรอด” ชวนเหล่า Gen Z ลงสนามจริง เรียนรู้ “ทักษะแห่งอนาคต” กับแก๊ง Young Survivors แบบครบทีม

“มูลนิธิเอสซีจี” ร่วมกับ GMMTV ชวนเหล่า Gen Z กว่า 200 คน ร่วมเวิร์คช็อปทักษะเอาตัวรอดในงาน Young Survivors LEVEL UP ขนแก๊ง “Young Survivors และเหล่า Master Class แบบครบทีมจัดเต็ม ร่วมจัดกิจกรรม Talk & Show นำทักษะแห่งยุคมาร่วมกันสร้างการรับรู้และความเข้าใจตามแนวคิด Learn to Earn  ผ่านภารกิจ Young Survivors รุ่นนี้ต้องรอด” ที่ออนแอร์มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี เปิดเผยถึงแนวคิดการส่งเสริมให้คน Gen Z นำทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 หรือ Power Skill ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้อยู่รอดได้ในโลกปัจจุบันว่า “มูลนิธิเอสซีจีเป็นองค์กรสาธารณกุศล ที่มุ่งเน้นในการพัฒนา ‘คน’ มาโดยตลอด ประกอบกับทุกวันนี้ โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมาของโควิด-19 ก็เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่ออยู่รอด มูลนิธิเอสซีจีจึงเร่งผลักดันแนวคิด Learn to Earn  เรียนรู้เพื่ออยู่รอด โดยให้ทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนตามสภาวการณ์ปัจจุบัน ส่งเสริมให้เยาวชนเรียนเร็ว จบเร็ว มีงานเร็ว อีกทั้งมุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน ให้มีทักษะทั้ง Hard skill หรือ ทักษะความสามารถที่ใช้ในการทำงานในแต่ละสายอาชีพ และ Soft skill หรือ ทักษะด้านการเข้าสังคมและอารมณ์ เพราะโลกทุกวันนี้ คนเก่งไม่ได้หมายถึงต้องเรียนเก่งเป็นเลิศ หรือต้องได้เกรด 4.00 แต่หมายถึง คนเก่งที่ใช้ความรู้ความสามารถประกอบอาชีพได้ ทำมาหากินได้ ดูแลตัวเองและครอบครัว และมีการบริหารจัดการอารมณ์ได้ดี ทำงานเป็นทีม เข้ากับคนอื่นได้ และแบ่งปันให้สังคม  

นอกจากการมอบโอกาสทางการศึกษาแล้ว มูลนิธิฯ ยังมุ่งสร้างการรับรู้และชวนให้ตระหนักถึงรูปแบบการศึกษาที่เปลี่ยนไป ว่าโลกทุกวันนี้ทุกอย่างคือการเรียนรู้ และการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องเรียน แต่หมายถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต มูลนิธิเอสซีจี จึงร่วมมือกับ GMMTV ผลิตรายการ Young Survivors รุ่นนี้ต้องรอด” นำทัพนักแสดงวัยรุ่น พร้อมด้วยเหล่า Master Class มากประสบการณ์ ผู้คร่ำหวอดในแต่ละวงการ มาปฏิบัติภารกิจการเอาตัวรอดผ่านการใช้ทักษะในด้านต่างๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคน Gen Z ได้พัฒนาตนเองด้วยทักษะแห่งยุค 

ด้านคุณสถาพร พานิชรักษาพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็มทีวี จำกัด กล่าวเสริมถึงแนวคิดเรื่อง Learn to Earn ของมูลนิธิเอสซีจี ว่า “ในฐานะที่ GMMTV เป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิต content ที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น และมีนักแสดงวัยรุ่นที่สามารถนำเสนอและถ่ายทอดข้อมูลไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z จึงได้ผลิตรายการที่มีเนื้อหาสาระและถ่ายทอดแนวคิดดังกล่าวเพื่อให้ผู้ที่รับชมรายการสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตจริง   ซึ่งรายการดังกล่าวได้ออกอากาศไปแล้วทางช่อง YouTube: GMMTV OFFICIAL ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 รวมทั้งสิ้นจำนวน 5 ตอน  และก็มาถึงกิจกรรมที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญ คือการรวมบทสรุปคอนเทนต์ทั้ง 5 ตอน มาไว้ในงาน “Young Survivors LEVEL UP” โดยเป็นงานรวมพลเหล่า Young Survivors และ Master Class แบบครบทีมจัดเต็มในวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ หอดนตรีและการแสดงอโศกมนตรี 1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 

ในงานดังกล่าว เหล่าเยาวชน Gen Z ที่มาร่วมงาน ได้มีโอกาสได้กระทบไหล่กับเหล่าแก๊ง Young Survivors ตัวเป็นๆ อย่าง คริสพีรวัส เตตะวัน ปอนด์ณราวิชญ์ ภูวินทร์ตั้งศักดิ์ยืน นีโอตรัย อาร์มวีรยุทธโฟร์ทณัฐวรรธน์  ที่จะมาสร้างสีสันและความสนุกสนานแบบครบทีมจัดเต็ม ร่วมกิจกรรม Workshop ที่แสนจะเพลิดเพลินไปกับเหล่า Master Class  ป๋าเต็ดยุทธนา บุญอ้อม หนุ่ยพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรีนนิธิวัชร์ โค้ดดี้อรรถพล ที่จะมาถ่ายทอดความรู้ทักษะแห่งอนาคตด้วยประสบการณ์ตรง พร้อมโอกาสร่วมสนุกเล่นเกมสุดฮากับพิธีกรแต่ละคลาส  ก็อตจิทัชชกร ป๋อมแป๋มนิติ กอล์ฟกิตติพัทธ์ เจนนี่ ปาหนัน นอกจากนี้ยังจัดช่วงพูดคุยกับเหล่า Master Class ให้ Gen Z ได้รับฟังแง่คิดดีๆ จากกูรูด้านต่างๆ ก่อนปิดท้ายด้วยโชว์สนุกๆ ถึง 5 ชุด จากเหล่าศิลปินที่มาร่วมงาน   

“มูลนิธิเอสซีจี หวังว่า ทักษะที่ได้ในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องๆ Gen Z ให้สามารถนำทักษะไปปรับใช้เวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค ยิ่งโลกเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไร เราทุกคนยิ่งต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อนำไปพัฒนาตัวเองให้เก่งทั้งการงาน และเก่งทั้งการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม คุณสุวิมล กล่าวสรุป

ติดตามชมรายการ “Young Survivors รุ่นนี้…ต้องรอด” ย้อนหลังได้ทางช่อง YouTube: GMMTV OFFICIAL และติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org  และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

#LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #รุ่นนี้ต้องรอด #มูลนิธิเอสซีจี

เติมก่อนโต Go Live: The Journey Of Growth

การแสดงผลงานการเรียนรู้ของน้อง ๆ นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี จากค่าย “เติมโตก่อนโต Plus+” ทั้ง 5 กลุ่มอาชีพ ที่จะมาแสดงผลของความพยายามในการตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำตามความสนใจตลอด 3 สัปดาห์

โครงการเติมก่อนโต ตั้งอยู่บนฐานของแนวคิด การเลือกเรียนสําหรับการดํารงชีพ (Learn To Earn) คือการเปิดมุมมองสร้างแรงบันดาลใจต่ออาชีพที่สามารถสร้างรายได้ในอนาคตและวางแผนการในการพัฒนาตนเองสู่อาชีพในอนาคต โดยการสร้างทักษะให้นักเรียนทุนในโครงการเข้าใจถึงเรื่องการออกแบบชีวิตด้วยหลักการ Design thinking และปลูกฝัง Growth mindset พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ น้อง ๆ ได้เรียนรู้ วางแผน รวมไปถึงการลงมือทำจริงในโครงการ 

เป้าหมาย : 

เพื่อเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมโครงการต่ออาชีพต่าง ๆ รวมถึงส่งเสริมให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้มีการวางแผนเพื่อพัฒนาตนเองสู่อาชีพในอนาคต นำทีมสอนโดยวิทยากรจาก Tact และแขกรับเชิญพิเศษที่มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ในโครงการ เช่น เติร์ด – อนุโรจน์ เกตุเลขา นักร้องนำวง Tilly Birds, ฟ้าใส (อนันตญา ชินวงศ์) รุ่นพี่นักเรียนทุน SCG SHARING THE DREAM และเจ้าของร้านขายต้นไม้ด่าง,กระถางออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ, ผศ.ดร.อรรถพล อนันตวรสกุล  อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กลุ่มเป้าหมาย :

นักเรียนทุนในโครงการของมูลนิธิ SCG Foundation ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ 3 ในปีการศึกษา 2564 (รวมถึงให้สิทธิน้อง ๆ ชวนเพื่อนที่สนใจเข้าร่วมโครงการด้วย)

Young​ Survivors​ Level Up

นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี​ ร่วมลงสนามจริงลองเรียนรู้ “ทักษะแห่งอนาคต” แบบ​ Exclusive ​ ในงาน​ Young​ Survivors​ Level Up​ พร้อมสนุกไปกับ​ Talk & Show จาก​แก๊ง “YOUNG SURVIVORS” แบบครบทีม และเหล่า​ Master Class​ เช่น​ ป๋าเต็ด ป๋อมแป๋ม​ คริส​ นีโอ​ หนุ่ย​-พงศ์สุข​ เต-ภูวินทร์ ก็อตจิ​ โฟร์ท​ นีโอ​ โค้ดดี้ เจนนี่​ เป็นต้น

ผู้สนใจ​ร่วมชม​ Live​ จากงานได้​ พุธที่​ 10​ สิงหาคม​ 2565​ เวลา​ 18.00​ น.​ ทางเพจ​ Facebook​ มูลนิธิเอสซีจี, YouTube​ GMMTV

#รุ่นนี้ต้องรอด #YoungSurvivors #LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด​ #มูลนิธิเอสซีจี​ #GMMTV

Young ต้องเติม

โครงการ Young ต้องเติม เป็นหนึ่งในกิจรรมพัฒนาศักยภาพนักเรียนทุน Sharing the Dream ของมูลนิธิเอสซีจี ที่มุ่งให้นักเรียนทุนฯ ได้พัฒนาทักษะทั้งในเชิง Hard – Soft Skill อันจะเป็นส่วนสาคัญในการเติบโตและมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมาย ตามแนวคิด Learn to Earn โดยมูลนิธิฯ ได้สำรวจความต้องการของนักเรียนทุนฯ พบว่าน้องๆ มีความสนใจที่จะเพิ่มทักษะในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน การสื่อสารในที่สาธารณะ ช่องทางการเพิ่มรายได้ รวมถึงสนใจที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร มูลนิธิฯ จึงได้ออกแบบและจัดทำโครงการ Young ต้องเติม ขึ้นเพื่อเติมเต็มความรู้ พัฒนาทักษะให้กับน้องๆ นักเรียนทุน 

“Young ต้องเติม” เปิดโอกาสให้นักเรียนทุนฯ ในระดับ ปวส. และ ปริญญาตรี ทั่วประเทศ ได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 2 ช่วงหลัก 

1. Online Class สร้างแรงบันดาลใจ เรียนรู้เทคนิคกับ KOL ขวัญใจวัยรุ่น โดยมี 4 วิชาด้วยกันได้แก่ 

: English for daily life โดย คุณคะน้า จาก ฝรั่งอั้งม้อ (Farang Angmor) 

: Public Speaking โดย คุณตอนยอน และ คุณกวิน จากเพจนวล 

: การลงทุนและการเงินสาหรับวัยรุ่น โดย คุณเคน จักรกฤษณ์ จากMoney Buffalo : ESG Young Influencer โดยคุณหนุ่ม SD SCG และคุณแก๊ป จาก Salmon House 

2. Self Learning & Assignment เมื่อจบจาก Online Class แล้ว ผู้เข้าร่วมโครงการ ก็จะได้ฝึกฝนทั้ง 4 วิชา ในรูปแบบ online ผ่านทาง platform ที่มูลนิธิฯ จัดเตรียมไว้ให้ พร้อมทำแบบทดสอบ เพื่อรับประกาศนียบัตรจากโครงการ 

เพราะโลกยุคดิจิทัลหมุนไว การก้าวให้ทันโลกจึงสาคัญเป็นอย่างมาก มูลนิธิฯ จึงสนับสนุนและส่งเสริมให้นักเรียนทุนฯ ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ไขว่คว้า กล้าลองสิ่งใหม่ๆ เพิ่มทักษะให้กับตัวเองเพื่อพร้อมที่จะก้าวสู่อนาคตตามแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด

ไฮไลท์กิจกรรม “Young ต้องเติม” https://www.facebook.com/watch/?v=804836880793075

Creative Idea for Change: มาร่วมแลกเปลี่ยน คิด เสริม เกลาไอเดียเพื่อแก้ปัญหา

School of Changemakers ร่วมกับ TK Park และมูลนิธิเอสซีจี ชวนผู้ที่สนใจสนับสนุนการสร้างเปลี่ยนแปลง มาใช้ประสบการณ์และความสนใจของตัวเองมาช่วยคิด เสริม เกลาไอเดียของเหล่าว่าที่ Changemaker ที่กำลังมองหาวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาสังคมที่ตนสนใจ ได้ไอเดียที่สร้างสรรค์ และทำได้จริง หรือพกโจทย์ประเด็นปัญหาที่ตนเองสนใจ มาหาไอเดียที่สร้างสรรค์จากเพื่อนหลากหลายวงการและอายุภายในงานก็ได้เช่นกัน

ที่มา

นอกจากไอเดียสร้างสรรค์ที่จะแก้ปัญหาสังคมอันซับซ้อนมักเป็นไอเดียที่พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และความมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ยังมักจะเป็นไอเดียที่เจ้าของได้ดึงเอาความสนใจ ความชอบ ความชำนาญของตัวคนทำเองออกมาคิดแก้ปัญหา ทำให้ได้ไอเดียที่มีความเป็นตัวเอง (Original) แตกต่างจากวิธีการแก้ไขปัญหาเดิม ๆ เติมสิ่งที่ขาดหายไปจากระบบ และทำให้ผู้ประสบปัญหาหรือเกี่ยวข้องแก้ปัญหาตัวเองได้ พร้อมๆ ไปกับการเรียนรู้และการพัฒนาตัวเองของคนทำ

แต่ถึงแม้จะมีเครื่องมือ/ตัวช่วยในการคิดไอเดีย ในโลกที่มีไอเดียเจ๋ง ๆ เกิดใหม่ทุกวันและก้าวหน้าขึ้นทุกวัน จนดูเหมือนว่าเป็นการคิดไอเดียใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์สังคมและคนทำไม่ใช่เรื่องง่าย

เวิร์กช็อปนี้ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อสร้างโอกาสให้คนได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และมาแลกเปลี่ยน ช่วยเสริม เติม เกลาไอเดีย เพื่อสร้างสิ่งใหม่ให้สังคม กับคนที่สนใจทำเพื่อสังคมหลากหลายประเด็นปัญหาและจากหลากหลายพื้นหลัง เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีของดีอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็นความถนัด ความชอบ หรือประสบการณ์ ‘ของดี’ เหล่านี้สามารถเป็นพลังที่จะส่งต่อให้คนอื่นได้ และการคิดไอเดียสร้างสรรค์ของว่าที่นักเปลี่ยนแปลงก็คงไม่ยากเกินไป

งานนี้ทำอะไรบ้าง?
– ลองใช้ชุดเครื่องมือ (Toolkit) ช่วยคิดไอเดียที่สร้างสรรค์จากความเป็นตัวเอง และความเป็นไปได้
– คิดไอเดียแก้ปัญหา ภายใต้กรอบการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน Environment, Social, Good Governance (ESG)
– ช่วยเพื่อนว่าที่ Changemakers สร้างสรรค์ไอเดีย ด้วยการแลกเปลี่ยน คิด เสริมกับผู้เข้าร่วมที่สนใจสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง

กิจกรรมนี้เหมาะกับใคร

  • Supporter for Change บุคคลทั่วไป ผู้ที่อยากจะมีส่วนร่วมสนับสนุนไอเดีย หรือความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา ช่วยสร้างสรรค์ไอเดียเป็นจริง และอยากช่วยเพื่อนทำ
  • คุณครู อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักการศึกษา ผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัย สนใจเรียนรู้กระบวนการ เพื่อนำไปใช้งานพัฒนาเยาวชน คนรุ่นใหม่ให้คิดไอเดียแก้ปัญหาสังคม
  • พนักงานองค์กร ผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจกระบวนการคิดไอเดียแก้ปัญหา ภายใต้กรอบการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน Environment, Social, Good Governance (ESG) เพื่อนำไปต่อยอดในการทำงาน
  • พร้อมเปิดกว้างทางความคิดเห็น รับฟัง และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นได้
    *ทีมงานจะพิจาณาคัดเลือกผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากทักษะ ความสนใจเพื่อกระจายให้เกิดความหลากหลายของผู้เข้าร่วม

กำหนดการ

12.45 – 13.00 ลงทะเบียน
13.00 – 13.15กล่าวต้อนรับเปิดงาน วัตถุประสงค์ของกิจกรรม
13.15 – 13.35กิจกรรม DREAM IT DO IT คิดไอเดียโดยดึงความสนใจ ความถนัดของตัวเองออกมา
13.35 – 13.50พักเบรก
13.50 – 14.50กิจกรรมแลกเปลี่ยน เสริม เกลา ไอเดีย
14.50 – 15.00กิจกรรมสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) ประเมินกิจกรรม (Evaluation) และปิดงาน

วันเวลา สถานที่

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม 2565 เวลา 13.00-15.00 น.
สถานที่ ห้อง Mini Theater TK Park ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

สมัครและสอบถามเพิ่มเติม

กิจกรรมนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม และจำกัดผู้เข้าร่วมทั้งหมดไม่เกิน 40 คน เพื่อรักษาระยะห่างทาง

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ohr@schoolofchangemakers.com (อ้อ)

Young ESG Innovator (YESGI)

โครงการ Young ESG Innovator (YESGI)  เป็นความร่วมมือระหว่าง SCG Foundation กับ School of Changemakers ที่จะชวนคนรุ่นใหม่อายุ 18-25 ปี และผู้ที่สนใจทั่วประเทศ มาทำความเข้าใจปัญหาสังคมเชิงลึกและหาวิธีแก้ไขปัญหา ภายใต้กรอบการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน Environment, Social, Good Governance (ESG) เพื่อพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในชุมชนและสังคมของตัวเอง

ที่มาโครงการ

SCG Foundation หรือ มูลนิธิเอสซีจี ถือกำเนิดขึ้นมาจากเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ในการดำเนินกิจกรรมทางสังคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีในเรื่อง “เชื่อมั่นในคุณค่าของคน” ความมุ่งหวังของมูลนิธิฯ คือ การทำงานเพื่อพัฒนา “คน” โดยเน้นที่เด็กและเยาวชน เพราะพวกเขาเหล่านี้ คือ อนาคตที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความยั่งยืน

School of Changemakers หรือ SOC เป็นสถาบันที่เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนคนที่อยากแก้ปัญหาสังคม ซึ่ง SOC มองว่าการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่และแนวคิดเดิมไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะขาดความคิดและมุมมองใหม่ๆ ทำให้สังคมต้องการนวัตกรรุ่นใหม่ ซึ่ง นวัตกรรุ่นใหม่ต้องมีความสามารถในการมอง การทำความเข้าใจปัญหา และการหาวิธีการเพื่อไปแก้ไขปัญหาในระบบอย่างตรงจุด

ในด้าน SCG Foundation ยังคงมุ่งเสริมสร้าง/ปลูกฝังแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของเยาวชนในปัจจุบัน และให้โอกาสเยาวชนได้แสดงศักยภาพในด้านต่างๆ และในโอกาสอันดีที่ SCG Foundation ได้ร่วมมือกับ School of Changemakers ครั้งนี้ เราจึงสนับสนุน “นวัตกรรุ่นใหม่” ที่ต้องการโอกาส แนวทาง องค์ความรู้เพื่อใช้ในการทำความเข้าใจและมองหาโอกาส /ช่องว่างในการหาไอเดียใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมในด้านต่างๆ ตลอดจนเรียนรู้และรับประสบการณ์ตรงจากการทดลองปฏิบัติ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ Young ESG Innovator ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผ่านคอร์สออนไลน์ทั้ง 3 คอร์ส

โครงการนี้เหมาะกับใคร

  1. เยาวชนคนรุ่นใหม่อายุ 18-25 ปี ที่สนใจพัฒนาศักยภาพและเตรียมความพร้อมในการเป็น
    ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
    *ผู้ที่อายุไม่ตรงเกณฑ์สามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรรมได้ ขอสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่อายุตามเกณฑ์ก่อน
  2. มีความสนใจในการแก้ไขปัญหาปัญหาสังคมในชุมชนและสังคมของตัวเอง
  3. เป็นผู้มองหาการสนับสนุนเชิงความความรู้และกระบวนการ เพื่อเริ่มต้นสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
  4. มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขปัญหาสังคม พร้อมเรียนรู้ ฟัง feedback และปรับโครงการให้บรรลุผลได้ตามเป้าหมาย
  5. มีเวลาเพื่อทำงานโครงการอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่โครงการจัดขึ้นได้ ตลอดระยะเวลา 5 เดือน (โปรดอ่านรายละเอียดกระบวนการและกำหนดการโครงการด้านล่าง)
  6. มีความพร้อมด้านอุปกรณ์สำหรับการเรียนและประชุมผ่านช่องทางออนไลน์ และสามารถเข้าร่วมกิจกรรม on site ได้ตลอดโครงการ

กิจกรรมในโครงการ

  1. Insight Tanks (8 สัปดาห์) คอร์สออนไลน์ เรียนรู้วิธีการทำความเข้าใจปัญหาและพัฒนาทักษะการเข้าอกเข้าใจ (Empathy) คิดวิพากษ์ (Critical Thinking) เพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจในเชิงลึกที่เห็นช่องว่างหรือโอกาสในการแก้ปัญหา (Problem Insights)
  • ปฐมนิเทศออนไลน์ เพื่อแนะนำคอร์ส ทำความรู้จักเพื่อน
  • 5 บทเรียน ประกอบไปด้วยการดูวีดีโอและทำแบบฝึกหัดส่งทุกสัปดาห์ ได้แก่
    Scoping Problem, Conducting Secondary Research, Preparing to Empathize, Empathising Stakeholders, Extracting Insight
  • แบบฝึกหัดที่ส่งมา จะมีผู้ให้คำแนะนำผ่านคอมเมนต์และคำปรึกษา
  • เกียรติบัตร เมื่อจบคอร์ส
  1. Idea Pools (2 สัปดาห์) คอร์สออนไลน์​และเวิร์กช็อป เรียนรู้วิธีการตั้งโจทย์ปัญหาให้ชัดเจน และวิธีการดึงเอาจุดเด่นออกมาใช้สร้างสรรค์ไอเดียแก้ไขปัญหาสังคมในแบบฉบับของตัวเอง
  • 2 บทเรียน ซึ่งประกอบไปด้วยการดูวีดีโอและทำแบบฝึกหัดส่งทุกสัปดาห์ ได้แก่ How Might We, Dream it Do it
  • แบบฝึกหัดที่ส่งมาจะมีโค้ชให้คำแนะนำผ่านคอมเมนต์และคำปรึกษา หรือเลือกรับคำแนะนำจากทีมงาน School of Changemakers ในรูปแบบคอมเมนต์ได้
  • เวิร์กช็อป Creative Idea for Change [on-site] เพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกับเครือข่าย
    กลุ่มนักเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม
  • เกียรติบัตร เมื่อจบคอร์ส
  1. Prototype Sandbox (4 สัปดาห์) คอร์สเรียนออนไลน์ลงมือแก้ไขปัญหาสังคม และอีเวนท์ทดลองทำจริง เพื่อให้ได้แนวทางในการริเริ่มโปรเจกต์หรือกิจการสังคมต่อไป
  • 6 บทเรียนซึ่งประกอบไปด้วยการดูวีดีโอและทำแบบฝึกหัดส่งทุกสัปดาห์ ได้แก่ Idea Sketch, Try-out Desicion, Prototyping Loop, Synthesis Review, Prototype Journal, Reflection, Theory of Change
  • แบบฝึกหัดที่ส่งมาจะมีโค้ชให้คำแนะนำผ่านคอมเมนต์และคำปรึกษา
  • อีเวนท์ Prototype Try-out [on-site] เพื่อทดลองทำไอเดียกับกลุ่มเป้าหมาย

ระยะเวลาดำเนินกิจกรรม

5 – 21 พฤษภาคม  เปิดรับสมัคร
22 พฤษภาคมประกาศผลทีมที่ได้รับคัดเลือกผ่านทางอีเมล
29 พฤษภาคม 10.00 – 12.00ปฐมนิเทศ ผ่านทาง ZOOM
29 พฤษภาคม – 24 กรกฎาคมคอร์ส Insight Tanks (8 สัปดาห์) 
24 กรกฎาคม – 31 กรกฎาคมสรุปและประเมินผลการเรียนคอร์ส Insight Tanks
31 กรกฎาคม – 13 สิงหาคมคอร์ส Idea Pools (2 สัปดาห์)
13 สิงหาคมเวิร์กช็อป Creative Idea for Change แลกเปลี่ยน-เกลา-เสริมไอเดีย
14 สิงหาคม – 3 กันยายนสรุปและประเมินผลการเข้าคอร์ส Idea Pools
4 กันยายน – 10 ตุลาคมคอร์ส Prototype Sandbox (4 สัปดาห์)
  10 กันยายน 2565อีเวนท์ Prototype Try-out ทดลองต้นแบบ
10 ตุลาคม – 17 ตุลาคม• สรุปและประเมินคอร์ส Prototype Sandbox
• ประเมินผลการเข้าโครงการ YESGI
• ส่งผู้เรียนที่ต้องการนำผลการทดลองต้นแบบมาพัฒนาเป็นโมเดลแก้ไขปัญหาสังคม

ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ของโครงการ 

  1. https://www.schoolofchangemakers.com/event/idpl-yesgi/
  2. https://www.schoolofchangemakers.com/event/insight-tanks-2022-young-esg-innovator/
  3. https://www.schoolofchangemakers.com/event/idplclub/?fbclid=IwAR0osJViG6_qpCUPorDH_HirZDmw3UO93a2e7e7XPPWW9Zf2yfS8gmKBzGg

ส่งมอบที่พักคอยเพื่อประชาชน ให้กับสถาบันบำราศนราดูร ถวายเป็นพระราชกุศลฯ

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ส่งมอบที่พักคอยเพื่อประชาชน ให้กับสถาบันบำราศนราดูร ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565

คงจะดีไม่น้อยถ้าระหว่างรอรับการรักษาจะมีพื้นที่ที่ช่วยเยียวยาจิตใจของผู้ป่วย และญาติ ให้สดชื่นเบิกบาน มีกำลังใจ และมีความหวัง เพราะ “เมื่อใจสบาย ความทุกข์ทางกายก็จะเบาบางลง”

มอบนวัตกรรมไอซียูโมดูลาร์ (MODULAR ICU) ให้โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกพลัง มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก ส่งมอบนวัตกรรมไอซียูโมดูลาร์ (MODULAR ICU) ให้โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กู้วิกฤตเตียงผู้ป่วยโควิดสีแดง รองรับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต

ห้อง MODULAR ICU นี้ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจได้มากขึ้นถึง 9 เตียง และในอนาคตจะถูกใช้เป็นอาคารไอซียูถาวรเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ต่อไป

School​ Project​ Esports​ Tournament

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ร่วม​กับทีม King of​ Gamers​Club​ (KOG)​ ดำเนินโครงการ​ School​ Project​ Esports​ Tournament​ ​จัดการแข่งขัน​ที่โรงเรียนธรรมศาสตร์​คลองหลวง​ จ.ปทุมธานี​ 

เพื่อ​ส่งเสริมศักยภาพและพัฒนาทักษะของเยาวชน​ ตลอดจน​เปิดโอกาส​ให้ได้เรียน​รู้เส้นทางอาชีพ​ในอุตสาหกรรม​อีสปอร์ตตั้งแต่​รับสมัคร​ ประชาสัมพันธ์​ จัดการ​แข่งขัน​ หลักสูตร​การเรียน​ต่อในระดับมหาวิทยาลัย​ ตลอด​จนอาชีพ​ต่าง​ๆ ในอุตสาหกรรม​อี​สปอร์ต​เพื่อให้เยาวชนได้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพในอนาคต​

มาก​กว่ารางวัล​ คือ​ โอกาส​ ที่ได้เรียน​รู้​อาชีพ​ในอุตสาหกรรม​อี​สปอร์ต​ เพราะ​อีสปอร์ต​ถือเป็น​เทรนด์​อาชีพ​ใหม่​ที่กำลัง​เติบโต​ คืออีก​หนึ่ง​ทางเลือก​ อีกหนึ่งทางรอด​ของเด็ก Genนี้

#มูลนิธิเอสซีจี #KOG  #ESPORTS 

#เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #LearnToEarn #รุ่นนี้ต้องรอด

สภากาชาดไทย X เอสซีจี X มูลนิธิเอสซีจี ร่วมบริจาคโลหิตช่วยต่อชีวิต ให้กับเพื่อนมนุษย์

รวมเลือดชาวเอสซีจี ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแก๊ง ปันโอกาส บริจาคเลือดให้กับผู้ป่วย
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ณ ห้องโถง สนญ.1 เวลา 9.00 น. – 15.00 น.
และพบกับกิจกรรมดีๆ เช่นนี้อีกครั้ง วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ณ โรงงานปูนทุ่งสง
รวมทั้งหากเพื่อนๆ ได้ไปร่วมบริจาค ณ สถานรับบริจาคโลหิตทุกแห่ง จนถึง 31 กรกฎาคม นี้
เมื่อนำหลักฐานการบริจาคเลือดภายในระยะเวลาที่กำหนดนี้มาแสดง รับไปเลยเสื้อ “ปันโอกาส”

ขอพลังแห่งการให้ครั้งนี้ ส่งผลให้ทุกท่านสุขใจ สุขภาพแข็งแรง

ต้นกล้า​ชุมชน​ โดย​ มูลนิธิ​เอส​ซี​จี เรียน​รู้​เพื่อ​อยู่รอด​ พึ่ง​พา​ตัวเอง​ได้อย่างยั่งยืน

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​จัดงาน​มอบประกาศ​นีย​บัตร​ให้แก่นักพัฒนา​ชุมชน​รุ่น​ใหม่ที่เข้าร่วมโครงการ​ต้นกล้า​ชุมชน​ รุ่น​ที่​ 3-5​ ที่จะหยั่งรากและเติบโตงอกงามบนผืนดินในท้องถิ่นของตนเองกว่า​ 30​ คน​ ทุกภูมิภาค​ทั่วประเทศ​ เพราะ​มูลนิธิเอสซีจี​ เชื่อว่า ไม่มีการสร้างใดจะยั่งยืนไปกว่าการสร้าง ‘คน’ และปรารถนาที่จะสร้างคนรุ่นใหม่ให้อยู่​ได้​ในชุมชน​และเป็​นกำลัง​สำคัญ​ในการพัฒนาภูมิลำเนาบ้านเกิดของตนเองให้เข้มแข็ง​อย่างยั่งยืน

“collaboration” ด้วยพลังของทุกคนทำให้เราผ่านพ้นวิกฤตโควิด 19 กันมาได้

มูลนิธิเอสซีจี​ และ SCGP รับมอบโล่ขอบคุณจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในความร่วมมือสนับสนุนภารกิจฝ่าวิกฤตโควิด 19 โดยที่ผ่านมามูลนิธิเอสซีจีและเอสซีจี ได้สนับสนุน​เตียงสนามกระดาษ​ ให้กับ รพ.สนามในการดูแลของ​ อว. เพื่อให้ผู้ป่วยได้มีเตียง รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที

หนุนอีสปอร์ต ทางรอดใหม่ สร้างรายได้ให้สายเกม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอีสปอร์ต (Esports) เติบโตเป็นอย่างมาก ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ โดยในประเทศไทยได้กำหนดให้กีฬาอีสปอร์ตเป็นกีฬาอาชีพในปี พ.ศ.2564 เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาอาชีพดังกล่าว มูลนิธิเอสซีจีเล็งเห็นความสำคัญและมุ่งเน้นส่งเสริมศักยภาพของเยาวชน ตามแนวคิด Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด จึงร่วมสนับสนุนการพัฒนาทักษะ และผลักดันอาชีพอีสปอร์ต เพื่อให้เยาวชน Gen Z ได้มีทางเลือกที่หลากหลาย หางานทำได้อย่างมั่นคง จากอาชีพอีสปอร์ต  ตลอดจนก้าวไปถึงการเป็นตัวแทนประเทศเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในเวทีโลกต่อไป

“มูลนิธิเอสซีจีเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญในเรื่องการสร้าง “คน” ด้วยการวางแนวทางการพัฒนาทักษะของเยาวชนให้ตอบโจทย์ และตรงกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ผ่านแนวคิด Learn to Earn ที่มุ่งเน้นให้ทุนการศึกษาที่จะช่วยหนุนและเสริมสร้างพัฒนาทักษะให้กับคนรุ่นใหม่ ด้วยทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่จะสามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพต่างๆ โดยในปีนี้มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมมือกับทีม King Of Gamers Club (KOG)  จัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต (Tournament School Project) ในสถานศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา และสนับสนุนการเข้าร่วมการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ 2022 ขึ้นเป็นปีแรก เพื่อสร้างการรับรู้ ส่งเสริมอาชีพกีฬาอีสปอร์ต และสร้างโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถ พร้อมร่วมสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมอีสปอร์ตไทยสู่สากล” สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าว

“นักกีฬาอีสปอร์ต”  ที่แม้ว่าอาจจะยังมีบางคนที่ยึดติดกับความคิดหรือความเชื่อเดิมๆ ว่า เป็นเรื่องของเด็กติดเกม แต่เด็กติดเกมหลายคนในปัจจุบัน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ถึงพวกเขาจะติดเกมแต่พวกเขาก็มีอนาคตที่ดีได้จากเกม นักกีฬาอีสปอร์ตหลายคนที่สวมหมวกสองใบ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ตราบใดที่พวกเขามีวินัยรู้จักจัดการและแบ่งเวลาเรียนและเวลาซ้อมให้สมดุลกัน พวกเขาก็สามารถที่จะเรียนและเล่นไปพร้อมๆ กันได้ ที่สำคัญ อาชีพนักกีฬาอีสปอร์ต รวมถึงอาชีพอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ โค้ช ผู้จัดการทีม นักพากษ์ นักแคสเตอร์เกม ตากล้อง นักพัฒนาและออกแบบเกม คนสร้างคอนเทนต์ด้านเกม คนทำออร์กาไนเซอร์ คนทำเทคโนโลยีด้านเกม ฯลฯ ต่างก็เป็นอาชีพที่มีความมั่นคงไม่ต่างไปจากอาชีพอื่น สามารถมีรายได้มากเพียงพอที่จะเลี้ยงดูทั้งตัวเองและสมาชิกในครอบครัวได้ ด้วยรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนเป็นตัวเลขถึงห้าหลักเลยทีเดียว

อายุไม่สำคัญขอแค่มีฝีมือ

นักกีฬาอีสปอร์ต เป็นอาชีพที่ไม่จำกัดทั้งเพศและอายุ ทุกอย่างวัดกันที่ฝีมือล้วนๆ พัตเตอร์ – จักรภัทร โชตะวัน หนุ่มน้อยวัย 14 สมาชิกที่อายุน้อยสุดของทีม KOG ผู้เล่นในตำแหน่ง Dark Slayer Lane ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการบริหารจัดการเวลาได้ดีทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเกม

ปัจจุบัน นอกจากการเป็นนักกีฬาที่ต้องฝึกซ้อมตามตารางเวลาที่โค้ชกำหนดอย่างเคร่งครัดแล้ว “พัตเตอร์” ยังต้องเรียนหนังสือควบคู่กันไป โดยตารางการฝึกซ้อมที่โค้ชกำหนดให้นั้น ช่วยให้พัตเตอร์บริหารจัดการเวลาให้สามารถ “เรียน” และ “เล่น” ไปพร้อมๆ กันได้ แม้ว่าบางวันที่เขาอาจจะใช้เวลาซ้อมนานกว่าปกติ ทำให้ต้องลดเวลานอนพักผ่อนลงไปบ้างก็ตาม แต่ผลการเรียนของพัตเตอร์ก็ยังไม่ตก และฝีมือการเล่นของพัตเตอร์ก็พัฒนาขึ้นจนทำให้ก้าวจากรุ่นจูเนียร์มาสู่รุ่นใหญ่ได้ในเวลาไม่นาน  

“พัตเตอร์” เข้าสู่วงการเกมจากการรวมทีมกับเพื่อนๆ คอเดียวกัน ลงแข่งเพื่อฝึกฝนตัวเองมาเรื่อยๆ ตามทัวร์นาเม้นท์เล็กๆ และมาเริ่มเล่นอย่างจริงจังตอนอายุประมาณ 13 ปี เมื่อมาสังกัดทีม KOG ในช่วงแรก ยังอยู่ในรุ่นจูเนียร์ แต่ด้วยฝีมือการเล่นที่เข้าตาโค้ชที่ไปสังเกตการณ์การแข่งขันในวันนั้น ทำให้โค้ชตัดสินใจพาตัว “พัตเตอร์” ข้ามรุ่นจากจูเนียร์มาสู่ชุดใหญ่ ในที่สุด

“ตอนอยู่ชุดเล็ก ก็เล่นแบบสนุกสนาน เพราะคนในทีมก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่พอย้ายมาชุดใหญ่ ก็รู้สึกกดดันมากขึ้นเพราะเป็นการอัพเลเวลที่ก้าวกระโดดพอสมควร ลีกการแข่งขันก็เป็นลีกที่สูงขึ้น ตอนช่วงที่เข้ามาในทีมก็เป็นช่วงที่กำลังจะแข่ง ต้องปรับตัวหนักมากเพื่อที่จะได้ตามพี่ๆ ในทีมให้ทัน แม้เวลาฝึกซ้อมจะมีไม่มากแต่ผมก็ตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่” 

ด้วยฝีมือการเล่นที่ไม่ธรรมดาของ “พัตเตอร์” ก็สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถด้านเกม ทำให้ได้รับการยอมรับจากทุกคนในทีม รวมถึงผู้ปกครองของ “พัตเตอร์” เองก็เปิดใจยอมรับมากขึ้นถึงความสามารถของตัว “พัตเตอร์” เอง

“ตอนที่บอกพ่อกับแม่ว่า นี่คือเงินที่หามาได้จากการเล่นเกม พ่อกับแม่ก็ภูมิใจและเริ่มให้การยอมรับในสิ่งที่ผมทำ ความตั้งใจของผม คืออยากเรียนไปด้วย แข่งไปด้วย อยากได้แชมป์โปรลีกในไทย และมีโอกาสได้ไปแข่งที่ต่างประเทศ”

เรียน-เล่น ไปด้วยกันได้ แค่รู้จักแบ่งเวลาให้ดี

มิดเลนวัย 18 ของทีม King of Gamers Club (KOG) ปุ๊ปู่ – ธนดล นันทาภรณ์ศักดิ์ เป็นนักกีฬาอีกคนหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า สามารถใช้ชีวิตการเรียนควบคู่ไปกับการเล่นได้ หากสามารถจัดสรรเวลาเรียนและเล่นให้ชัดเจน และการเป็นนักกีฬาสังกัดในทีม KOG ก็ช่วยได้มาก เพราะตารางการฝึกซ้อมที่โค้ชกำหนดไว้ให้นั้นเหมาะสมที่ “ปุ๊ปู่” จะใช้สำหรับการเรียนและเล่นเกมไปได้ในเวลาเดียวกัน

“ปุ๊ปู่” เล่าว่า ชีวิตการเล่นเกมของเขาเริ่มขึ้นในช่วงวัย 15 ปี จากการรวมทีมแข่งกับเพื่อนตามทัวร์นาเมนต์เล็กๆ ตามร้านเกม พอแข่งไปเรื่อยๆ ก็มีรุ่นพี่ในวงการมาชักชวนให้ไปร่วมทีมที่ใหญ่ขึ้น จนได้มาแข่งทัวร์นาเมนต์ของ KOG ที่จัดขึ้นเพื่อคัดทีมเข้าไปแข่งรอบโปรลีก และทีมของตนชนะ จึงได้เข้ามาสังกัดอยู่กับ KOG ทั้งทีม

“ปุ๊ปู่” บอกว่าตารางฝึกซ้อมที่โค้ชจัดให้ ไม่ตรงกับเวลาเรียนอยู่แล้ว และยังมีช่วงเวลาพักหรือวันหยุดที่สามารถใช้ทำการบ้านหรืออ่านหนังสือเพิ่มเติมได้ ล่าสุด “ปุ๊ปู่” ได้รับตอบรับการเข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในสาขากีฬาอีสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาบอกว่ายังอยากเรียนต่อไปพร้อมๆ กับทำให้ได้ตามเป้าหมายคือเป็นมิดเลนอันดับหนึ่งของไทย ก่อนจะก้าวต่อไปให้ถึงฝันคือไปเล่นลีกต่างประเทศที่เป็นลีกระดับนานาชาติ   

“ตอนที่ตัดสินใจเข้ามาเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตเต็มตัว ก็บอกกับคุณแม่ตรงๆ ว่าตอนนี้เป็นนักกีฬาอาชีพ

แล้ว คุณแม่ปล่อยอิสระให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ก็มีบอกว่า อยากให้เรียนจนจบด้วย และก็พร้อมสนับสนุนในสิ่งที่ตัดสินใจ ตัวผมก็คิดว่าจะไม่ทิ้งการเรียน แต่จะยังเรียนต่อไปพร้อมกับเล่นเกม เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำได้ เพียงแต่ตัวเราต้องมีวินัยแบ่งเวลาเรียนกับเวลาฝึกซ้อมให้ดี ก็จะสามารถเรียนไปด้วยเล่นเกมไปด้วยได้ แล้วยิ่งตอนนี้ อีสปอร์ตได้รับการยอมรับมากขึ้น มีหลักสูตรการเรียนในระดับปริญญาตรีสาขานี้มารองรับ ทำให้มั่นใจว่า อาชีพด้านอีสปอร์ตจะสามารถสร้างความมั่นคงให้ได้หากจะต้องยึดเป็นอาชีพจริงจังต่อไปในอนาคต”

ติดเกมแต่ก็มีอนาคตดีๆ ได้

ซัน – ณัฐดนัย รุ่งเรือง ผู้เล่นตำแหน่งโรมมิ่งในทีม KOG นักกีฬาอีสปอร์ต วัย 28 ปี  เล่าว่า ตนเองชื่นชอบเรื่องของการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก เข้าสู่วงการเกมตอนเรียนมัธยมต้น เล่นเกมอยู่ราวๆ 3 ปี จึงตัดสินใจเริ่มลงสนามแข่ง ซึ่งในยุคนั้น เป็นเพียงแม็ทช์เล็กๆ ที่จัดแข่งเพื่อเรียกคนมาเล่นเกมตามร้านเกม มีเงินรางวัลเล็กน้อยติดปลายนวมพอให้นำไปต่อยอดเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มได้อีกหลายแม็ทช์ จนมาประสบความสำเร็จ ชนะได้เงินรางวัลหลักหมื่นตอนอายุเกือบ 17 หลังจากนั้นก็ฝึกฝนต่ออีกเกือบ 3 ปี จึงได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งในเวทีใหญ่ๆ ในต่างประเทศ รวมถึงเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตเป็นชุดแรก ถือเป็นการเปิดโลกกว้างและเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับคนที่มีใจรักการแข่งขันในเกมอย่าง “ซัน” ได้เป็นอย่างดี

ทุกครั้งที่ “ซัน” แข่งชนะและได้เงินรางวัลมา เขาจะนำเงินรางวัลที่ได้มามอบให้คุณแม่เสมอ  แต่เพราะคำว่า “เด็กติดเกม”ที่ได้ยินได้ฟังจากคนรอบๆ ตัว ทำให้ความรู้สึกลึกๆ ในใจของ “ซัน” ต่อต้านและไม่ยอมรับว่าตัวเขานั้นชอบเล่นเกม แต่แม้ว่า “ซัน” จะไม่ได้ออกมาประกาศให้โลกรู้อย่างชัดเจนว่าตัวเอง “เล่นเกม” แต่ “ซัน” ก็สามารถพิสูจน์ให้ใครๆ ได้เห็นแล้วว่า การติดเกมของเขานั้น ไม่ได้ทำให้อนาคตของเขาแย่อย่างที่หลายคนวิตก 

“ผมเคยพยายามบอกตัวเองว่า ที่เล่นเกมเพราะมันได้เงิน เพราะใจผมไม่อยากยอมรับว่าตัวผมนั้นชื่นชอบการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ เคยถึงขนาดออกจากวงการเกมไปทำอย่างอื่นพักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ค้นหาตัวเองจนได้รู้ว่าสิ่งที่ชอบก็คือเกมนี่แหละ ก็เลยคิดได้ว่า ในเมื่อเรามี skill ทางด้านนี้อยู่ แล้วเราจะปฏิเสธมันทำไม และแม้ว่าอายุผมจะมากกว่าใครในทีม แต่ผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเล่นเกมให้ได้ดีนั้น อยู่ที่แรงบันดาลใจที่หล่อเลี้ยงมาจากความรัก ความชอบและทักษะที่สั่งสมมา และบวกกับความชื่นชอบการแข่งขันที่ผมมีอยู่เป็นทุนเดิม แม้ว่าผมจะเคยไปแตะๆ อาชีพอื่นในแวดวงกีฬาอีสปอร์ต แต่สุดท้าย ใจก็สั่งมาว่าให้กลับมาที่การเป็นนักกีฬา เพราะผมยังรักที่จะแข่งขันอยู่ และแม้ว่าผมจะยังก้าวไปไม่ถึงเป้าหมายตามความฝันคือการเป็นแชมป์โลก แต่นั่นก็ทำให้ผมยังมีเป้าหมายที่จะต้องผลักดันตัวเองให้ก้าวไปถึงจุดนั้นให้ได้ในสักวันหนึ่ง”

โค้ชมีส่วนช่วยปั้นนักกีฬาให้ดี  

ฮิวโก้ – พงษ์ปณต เรืองอารีรัตน์ Head Coach หนุ่มอนาคตไกลวัย 26 ปี ของทีม KOG ผู้ผันตัวเองจากนักกีฬาอีสปอร์ตมาเป็น Head Coach “ฮิวโก้” เป็นตัวอย่างที่ดีของนักกีฬาอีสปอร์ตที่ไม่เคยทิ้งการเรียน เพราะเขาคือบัณฑิตจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสาขาการเรียนที่เขาชอบ แต่ในวันนี้ เขาขอเดินตามความฝันของตนเองที่จะทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักที่จะทำ นั่นคือเกม และวันนี้ “ฮิวโก้” ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า เขาสามารถทำตามความฝันได้ และมีความสุขใจในทุกวันกับอาชีพที่เขารัก

“ฮิวโก้” รักการเล่นเกมมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล แต่เริ่มเข้าสู่วงการแข่งขันจริงๆ จังๆ ตอนช่วงประถมปลาย พอเริ่มขึ้นชั้นมัธยมต้น “ฮิวโก้” ก็เริ่มตั้งความฝันอยากจะประสบความสำเร็จเหมือนพี่ๆ เกมเมอร์ที่เป็นแชมป์ แล้วฝันของเขาก็เป็นจริงขณะที่เป็นนิสิตชั้นปี 4 เมื่อเขาคว้าแชมป์จากรายการ King of Gamers – Season 1 และได้เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักกีฬาอาชีพ (Turn Pro Player) ในสังกัด King of Gamers (KOG)

“เมื่อผมได้เข้ามาสู่วงการเต็มตัว ผมทำทุกอย่างภายใต้กรอบของเวลาที่ชัดเจน ทั้งการเรียนและการฝึกซ้อม ตอนเป็นนักกีฬาก็ดูแลแต่เวลาของตัวเอง แต่พอมาเป็นโค้ช ก็ต้องดูตารางเวลาของนักกีฬาที่เราดูแลทุกคน นอกจากตารางเวลาการเรียนและการฝึกซ้อมของนักกีฬาแล้ว ผมได้ใช้ประสบการณ์ที่เคยเป็นนักกีฬามาก่อน มาใช้ดูแลน้องๆ ในทีม ทั้งเรื่องการเรียน การเล่น การใช้ชีวิตของพวกเขา”

“ผมอยากให้ทุกคนมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดที่เด็กอยากเป็นเกมเมอร์ และก็ไม่อยากให้น้องๆ ต้องทิ้งการเรียนเพื่อเกม เพราะเกมไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่มันสามารถบาลานซ์เข้าด้วยกันได้ อย่างตัวผมเองก็จะมีจุดตรงกลางมาตลอดทั้งเรื่องเรียนและการฝึกซ้อม ผมจะทำข้อตกลงกับที่บ้านว่าจะไม่ให้ผลการเรียนตกลงไปกว่านี้ ผมสัญญากับพ่อแม่ว่า ผมจะไม่ดร็อปเรียน จะไม่เรียนให้ติดเอฟ ถ้าทำได้ ขอซ้อมเกมตามเวลาที่ต้องการ ถ้าเราทำได้ตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ปกครองก็จะเปิดใจและเปลี่ยนความคิด เลิกมองว่าการเล่นเกมไม่ดี และการเข้าไปในเกม ต้องเข้าไปแบบนักกีฬา ไม่ใช่เข้าไปแบบเด็กติดเกม เพราะการเป็นนักกีฬา ทุกคนจะมีเป้าหมาย มีความฝัน ว่าเข้ามาเล่นเพื่อพัฒนาตนเองให้มีทักษะที่ดีขึ้น เพื่อจะได้ก้าวไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตัวผมเองเล่นเกมแต่ก็เรียนจนจบมาได้ และเชื่อว่าคนอื่นก็ต้องทำได้ด้วย”  

สร้างคน สร้างทักษะ พัฒนาวงการอีสปอร์ต

มูลนิธิเอสซีจีร่วมกับ KOG เดินหน้าผลักดันสานฝันชาวเกมเมอร์ เพราะมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจในกีฬาอีสปอร์ตให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ด้วยการแนะแนวอาชีพในอุตสาหกรรมอีสปอร์ตตามโรงเรียนมัธยมหลายแห่ง ภายใต้โครงการ King of Gamers School Project  ประเดิมนำร่องที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี  และโรงเรียนธรรมศาสตร์คลองหลวงวิทยาคม โดยได้ Head Coach ฮิวโก้ เป็นหัวเรือหลักในการแนะแนวให้ความรู้กับน้องๆ เยาวชนที่ไม่ใช่การจัดบรรยายทั่วไป แต่เป็นการให้ความรู้ในรูปแบบของการ Learning by Doing ด้วยการรับสมัครนักเรียนในโรงเรียนนั้นๆ มาร่วมกันทำโปรเจ็คทัวร์นาเม้นต์ในโรงเรียน เพื่อให้ทุกคนได้มีประสบการณ์จริง ได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงว่าแต่ละหน้าที่ของกีฬาอีสปอร์ต ต้องทำอะไร อย่างไร ซึ่งจะช่วยจุดประกายความฝัน และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง รวมถึงเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนที่สนใจเข้ามาสู่อาชีพในวงการกีฬาอีสปอร์ต อันเป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนากีฬาอีสปอร์ตของไทยตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการกีฬาแห่งประเทศไทย

ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กติดเกม

แม้ “อีสปอร์ต” จะยังค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ของประเทศ แต่การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เยาวชนที่สนใจเข้ามาสู่วงการอีสปอร์ต รวมถึงการสร้างทัศนคติใหม่ต่อ “อีสปอร์ต” ตลอดจนความสำเร็จของนักกีฬาอาชีพที่สามารถประสบความสำเร็จไปพร้อมๆ กันทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเกม จะเป็นสิ่งพิสูจน์ให้สังคมได้เห็นว่า “อีสปอร์ต” ไม่ใช่เรื่องของ “เด็กติดเกม” แต่เป็นเรื่องของ Sport Entertainment เมื่อเรื่องเรียนกับเรื่องเล่นเป็นเรื่องเดียวกันได้ และเริ่มจากการเชื่อมั่นว่า เมื่อเด็กรักสิ่งใด เราก็สนับสนุนพวกเขาไปให้สุดทาง ด้วยการให้ความรู้และหนุนเสริมทักษะ ผลักดันให้เกิดการพัฒนา เปลี่ยนความชอบเป็นอาชีพ เพราะมูลนิธิเอสซีจีเชื่อมั่นว่าก้าวแรกของการสร้างคนให้เป็น “คนเก่งและดี” นั้น เริ่มจากการให้โอกาส

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org   และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARN

#LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #รุ่นนี้ต้องรอด #มูลนิธิเอสซีจี

ผนึกกำลัง Generation Thailand สร้างคน ลดช่องว่างทักษะ ลดช่องว่างทางสังคม

เจเนเรชั่น ประเทศไทย (Generation Thailand) ผสานพลังความร่วมมือกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) และมูลนิธิเอสซีจี แถลงข่าว GenNX Model ผนึกกำลังสร้างคน ลดช่องว่างทักษะ ลดช่องว่างทางสังคม เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเชิงระบบด้านกำลังคนและแรงงาน โดยมูลนิธิเอสซีจีเป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือที่ผลักดันการมีทักษะที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ แบบเรียนเร็ว จบเร็ว มีงานทำ ตามแนวทาง Lean to Earn 

พร้อมได้พบปะและพูดคุยกับนร.ทุนที่ได้รับการสนับสนุนให้ร่วมโครงการพัฒนาทักษะของ Generation Thailand : Generation JSD#1 นักพัฒนาซอฟต์แวร์รุ่นแรกของเจเนเรชั่น “น้องลูกน้ำ – ณิชารีย์ พรหมบุตร” โดยน้องลูกน้ำได้ส่งกำลังใจถึงพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนให้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ด้วย https://vt.tiktok.com/ZSd7jYVx9/?k=1

#Learntoearn #รุ่นนี้ต้องรอด #GenerationThailand #GenNX #GenTH

มูลนิธิเอสซีจีร่วมเฉลิมฉลองเทศกาล Pride Month 2022 ผ่านงานนิทรรศการศิลปะ LGBTQ+ ที่ทุกคนเท่ากัน อยู่ด้วยกันอย่างเท่าเทียม

ในเดือนมิถุนายน ของทุกปีถือเป็น Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่ม LGBTQ + มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มีพันธกิจในเรื่องเชื่อมั่นในคุณค่าของคน จึงร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญนี้โดยจัดนิทรรศการศิลปะ  Pride Month   Pride of all Genders ความภาคภูมิใจของทุกเพศอย่างเท่าเทียม ขึ้นเป็นปีแรก โดยผนึกกำลังกับศิลปินรุ่นใหม่ จำนวน 5 ท่าน นำโดย ฑีฆวุฒิ บุญวิจิตร, นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์, นักรบ มูลมนัส, ภาราดา ภัทรกุลปรีดา และนารีญา คงโนนนอก รังสรรค์ผลงานศิลปะสร้างสรรค์สังคม           จัดแสดงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน  – 3 กรกฎาคม 2565 ณ ห้อง New Gen Space Space For All Generations โดย มูลนิธิเอสซีจี ชั้น 3 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC ) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเสมอภาค และความเท่าเทียม

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า “มูลนิธิเอสซีจี เป็นองค์กรที่เห็นความสำคัญและเชื่อมั่นในคุณค่าของคนตลอดมา เราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเพศใด วัยใด ก็ภาคภูมิใจที่ได้เป็นตัวเอง ในเดือนมิถุนายนนี้ที่ถือเป็นเดือนที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลก มูลนิธิฯ จึงถือโอกาสร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดังกล่าวผ่านนิทรรศการศิลปะ Pride Month  Pride of all Genders ตลอดทั้งเดือน โดยร่วมกับศิลปินชาย ศิลปินหญิง และศิลปิน LGBTQ+ ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ในรูปแบบศิลปะหลายสาขา อาทิ จิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะสื่อผสม ศิลปะ NFT และศิลปะการจัดวาง เพื่อสื่อสารกับสังคมผ่านผลงานศิลปะ ในประเด็นความหลากหลายทางเพศหลากหลายมิติที่เปิดกว้างมากขึ้นในปัจจุบัน และสร้างการตระหนักรู้ ในสิทธิ์ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ให้เกิดการยอมรับต่อผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ทางเพศของทุกคน”

  ด้าน บอล นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์  ศิลปิน LGBTQ+ เจ้าของรางวัลดีเด่น สาขา ภาพถ่าย โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย โดย มูลนิธิเอสซีจี ประจำปี 2016 ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจัดนิทรรศการนี้กล่าวว่า “ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เราไม่เคยบอกใครเลยว่าเป็นเพศทางเลือก เราต้องการที่จะปกปิดสิ่งนี้เอาไว้ เพราะรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะพูด จนมาถึงจุดหนึ่งที่เราไปทำงาน และคิดว่าอยากบอกใครสักคน ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นคน ๆ นั้นเอาเรื่องของเราไปพูดต่อกันในแผนก เขาทำเหมือนว่าเป็นเรื่องตลก ทำให้เรารู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราก็ยังไม่กล้าที่จะบอกกับใครว่าเราเป็นอะไร จึงตัดสินใจใช้งานศิลปะเป็นตัวกลางในการสื่อสารและบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึก พูดเรื่องเพศสภาพ จากผลงานชิ้นแรกนั้นกลายเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เราสร้างสรรค์งานที่กล้าเปิดเผยตัวตนได้มากขึ้นจนในปัจจุบันนี้เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเราเป็นเพศทางเลือก และในงานนิทรรศการศิลปะ LGBTQ+นี้ เราได้สร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาใหม่ที่ยังไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อนที่มีชื่อผลงานว่า Hydrilla เป็นงานศิลปะแบบจัดวาง โดยได้นำพืชมาเป็นตัวหลักในการเล่าเรื่องจึงได้มีการเก็บรวบรวมสาหร่ายหางกระรอกจากหลายภูมิภาคในประเทศไทยมาจัดวางในตู้ปลาในที่เดียวกัน เพราะสาหร่ายหางกระรอก เป็นพืชที่มีทั้งเป็นต้นแยกเพศและต้นที่มีทั้งสองเพศจึงถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์แทนเพศทางเลือกเพื่อสะท้อนให้ทุกคนได้มองเห็นว่า ไม่ว่าคุณจะมาจากภูมิภาคไหน พื้นที่ถิ่นฐานใด หรือเป็นเพศอะไร ก็สามารถอยู่ร่วมกัน ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขได้ในสังคม”

ด้าน นารีญา คงโนนนอก ศิลปินสาวเลือดใหม่ เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยม สาขา ศิลปะ 3 มิติ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย โดย มูลนิธิเอสซีจี ประจำปี 2019 กล่าวเสริมว่า “ในครอบครัวของเรามีสมาชิกในครอบครัวที่เป็น LGBTQ+ ซึ่งครอบครัวของเราก็ยอมรับได้ และพร้อมสนับสนุนให้เขาได้เติบโตอย่างงดงามในทุก ๆ ด้าน จึงนำเรื่องราวความรัก ความเข้าใจ สายใยความอบอุ่นในครอบครัว มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานประติมากรรม ชื่อผลงาน รื่นเริง  เพื่อถ่ายทอดให้สังคมได้เห็นว่าความแตกต่างของแต่ละเพศ ไม่ว่าจะเป็น ชาย หญิง หรือแม้กระทั่งเพศทางเลือก ทุกเพศ ทุกคน ล้วนเเล้วเเต่มีมนต์เสน่ห์ที่ต่างกันออกไป มีคุณค่าเเละความน่าหลงใหลที่อยู่ในตัวของเเต่ละคน เเต่ละเพศ เเละเมื่ออยู่รวมกันจึงเกิดเป็นสีสันเเห่งความแตกต่าง ทำให้เกิดสิ่งที่งดงามทางด้านสังคมเเละจิตใจ อีกทั้งยังบังเกิดความหลากหลายได้อย่างลงตัวเเละสมบูรณ์”

ทั้งนี้ภายในงานตลอดเดือนมิถุนายนยังอัดแน่นไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมายทั้งโซนให้ความรู้เล่าประวัติความเป็นมาจุดเริ่มต้นของการจัดเทศกาล Pride Month จากทั่วโลก การจัดแสดงธงสัญลักษณ์ของผู้หลากหลายทางเพศ กิจกรรม Pride Wall  ที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลงานศิลปะ เพียงถ่ายรูปภายในงานแล้วส่งภาพให้ทีมงานปริ้นเป็นภาพโพราลอยด์เพื่อเขียนข้อความส่งต่อกำลังใจที่แสดงพลังสนับสนุน LGBTQ+  โซน Pride Floor เปิดพื้นที่แห่งโอกาสสร้างเวทีให้ทุกคนได้มาแสดงความสามารถอย่างเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะร้อง เล่น เต้นพูด ได้อย่างอิสระ ในวันอังคารถึงวันอาทิตย์ เพื่อให้ทุกคนได้เป็นตัวเองอย่างมีความสุข และกิจกรรมเสวนาแบบ Hybrid Event ทุกวันเสาร์ที่นำคนที่ประสบความสำเร็จ อาทิ  ลอเรน ม้าม่วง YouTuber และ TikToker ชื่อดัง, แบง ปฏิธาร บำรุงสุข เจ้าหญิงแห่งวงการเผาศพ,ภูวดล เนาว์โสภา. น้องมอส ภาณุวัฒน์ และน้องแบงค์ มณฑป ผู้กำกับและนักแสดงจากซีรีย์วายเรื่องมังกรกินใหญ่ และครูกอล์ฟ พิทักษ์ หังสาจะระ นักจัดดอกไม้ ครูผู้ปั้นเด็กไทยไปไกลถึงเวทีโลก ที่ผลัดกันมาแลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจ และปลุกไฟในตัวคุณให้กลับมาสู้ชีวิต ซึ่งสามารถเดินทางมาชมนิทรรศการและร่วมกิจกรรมดังกล่าวได้ที่ ห้อง New Gen Space Space For All Generations โดย มูลนิธิเอสซีจี ชั้น 3 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC ) หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม และรับชมการถ่ายทอดสดได้ผ่านเฟสบุ๊ค YoungThaiArtistAward

มูลนิธิฯ พร้อมร่วมขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมเพื่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนประชาชนทุกคนให้ได้หยัดยืนอย่างภาคภูมิในฐานะมนุษย์ปุถุชนอันพร้อมด้วยศักดิ์ศรีและสิทธิของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ถูกลดทอนคุณค่าของความเป็นคนเก่งที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเป็นคนดีที่มีจริยธรรม และคุณธรรมในจิตใจ เพราะ มูลนิธิเอสซีจี เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

4 พันธมิตร จับมือจัดอบรม BIM สร้างช่างสมัยใหม่

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร (TBIM) วิทยาลัยเทคนิคดุสิต และ CPAC BIM จัดอบรมความรู้เบื้องต้นเทคโนโลยี BIM ให้แก่นักเรียน นักศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคดุสิต เพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ช่วยลดเวลา ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบและการก่อสร้าง

BIM (บิม) มาจากคำว่า​ Building Information Modeling เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับวงการก่อสร้างที่สามารถครอบคลุม-ตั้งแต่การออกแบบอาคารไปจนถึงการก่อสร้าง​ เป็นการใช้ระบบคอมพิวเตอร์มาควบคุมกระบวนการต่างๆ ระบบจะสร้างแบบจำลองเสมือนของอาคารที่แม่นยำอย่างน้อยหนึ่งแบบจำลองแบบดิจิทัล​ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาคารสามารถสื่อสารระหว่างกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ ส่งผลให้งานมีมูลค่าที่สูงขึ้น

ส่งต่อโอกาสที่ปันผ่านเสื้อสุ่ม​ ส่งต่อทุนการศึกษาให้น้องๆ​

คุณภรัณยุ จุฑาสันติกุล ผู้ช่วยกรรมการและผู้จัดการอาวุโส เป็นตัวแทนมูลนิธิเอสซีจี มอบเงิน 466,910.33 บาท จากโครงการเสื้อสุ่มปันโอกาส ซึ่งเพื่อนพนักงานเอสซีจี และประชาชนร่วมกันบริจาค โดยมีคุณสุชาดา จัตุรภุชพิทักษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา​ (กสศ.)​ เป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งต่อเป็นทุนการศึกษาให้เด็กและเยาวชนยากจนด้อยโอกาส ที่มีโอกาสเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษา เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ในโครงการศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤต

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญร่วมเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ความภาคภูมิใจในความหลากหลายทางเพศ Pride Month : Pride of all Genders

ในเดือนมิถุนายนของทุกปี ทั่วโลกล้วนฉลอง “Pride Month” เพื่อแสดงความภาคภูมิใจของทุกเพศอย่างเท่าเทียม มูลนิธิเอสซีจีขอร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดังกล่าวผ่านผลงานศิลปะ จาก 5 ศิลปินรุ่นใหม่ นำโดย ฑีฆวุฒิ บุญวิจิตร  นรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ นักรบ มูลมนัส ภาราดา ภัทรกุลปรีดา และนารีญา คงโนนนอก ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในรูปแบบ จิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะสื่อผสม และศิลปะการจัดวางภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ

กิจกรรมเสวนาแบบ Hybrid Event ทุกวันเสาร์ที่เราจะพาคนที่ประสบความสำเร็จผลัดกันมาแลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจ และปลุกไฟในตัวคุณ

กิจกรรม Pride Wall  ที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลงานศิลปะ เพียงถ่ายรูปภายในงานแล้วส่งภาพให้ทีมงานพรินต์-เป็นภาพโพราลอยด์เพื่อเขียนข้อความส่งต่อกำลังใจที่แสดงพลังสนับสนุน LGBTQ+  

กิจกรรม Pride Floor พื้นที่แห่งโอกาสที่เปิดเวทีให้ทุกคนได้มาแสดงความสามารถอย่างเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะร้อง เล่น เต้น พูด ได้อย่างอิสระ

ณ  New Gen Space: Space For All Generations โดย มูลนิธิเอสซีจี

ชั้น  3 หอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร  ( BACC )

ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน จนถึง  3 กรกฎาคม 2565

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com : YoungThaiArtistAward

มาเสพงานศิลป์ ที่ทุกคนเท่ากัน อยู่ด้วยกันอย่างเท่าเทียม

#มูลนิธิเอสซีจี #pridemonth2022 

มูลนิธิเอสซีจีเปิดเวทีแห่งโอกาส จุดประกายคนรักงานศิลป์ แจ้งเกิดเป็นยุวศิลปินรุ่นใหม่ ในโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย ประจำปี 2565 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

มูลนิธิเอสซีจี เปิดพื้นที่แห่งโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 15-25 ปี ทั่วประเทศ ที่มีใจรักการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ มาประลองความคิดสร้างสรรค์ ประชันไอเดียศิลป์ เพื่อแจ้งเกิดเป็นยุวศิลปินเลือดใหม่ในวงการศิลปะกับโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2565 หรือ Young Thai Artist Award 2022 เวทีประกวดศิลปะสำหรับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัลรวม 3,300,000 บาท โดยน้องๆ สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ถึง 6 สาขา ได้แก่ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี

น้องๆ เยาวชนที่สนใจและมีศักยภาพด้านศิลปะ เชิญมาปลดปล่อยพลัง โชว์ความสามารถ เปล่งประกาย Shine Your Way แจ้งเกิดเป็นดาวดวงใหม่ในวงการศิลปะ สมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2565 *ยกเว้นสาขาวรรณกรรมปิดรับสมัครวันที่ 15 กรกฎาคม 2565

สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัคร Online ได้ที่ www.youngthaiartistaward.com  ติดตามความเคลื่อนไหวและสอบถามรายละเอียดได้ที่ คลิก www.facebook.com/YoungThaiArtistAward และ www.instagram.com/youngthaiartistaward

มูลนิธิเอสซีจี หนุนเด็กไทยให้เรียนรู้เพื่ออยู่รอด มอบ 245 ทุนการศึกษา ตอบโจทย์โลกยุคใหม่

เพราะโลกในแต่ละวันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “มูลนิธิเอสซีจี” จึงเดินหน้าผลักดันภารกิจสนับสนุนการเรียนรู้ตามแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” มุ่งสร้างอนาคตให้เยาวชนไทย มอบทุนการศึกษาในระดับ ปวส. และ ป.ตรี รวมถึงหลักสูตรระยะสั้น ได้แก่ ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ด้านอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve ด้านเทคโนโลยี IT รวมถึงด้านการส่งเสริมอาชีพทั่วไป โดยในปี 2565 จะมอบทุนการศึกษาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนทั่วประเทศทั้งหมด 245 ทุน

โดยที่ผ่านมา มูลนิธิเอสซีจีได้มอบทุนการศึกษาภายใต้แนวคิด Learn to Earn ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 1,700 ทุน รวมเป็นเงินกว่า 40 ล้านบาท ได้แก่ ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ด้านอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม ด้านอาชีวศึกษา และด้านการส่งเสริมความสามารถ/ความเชี่ยวชาญระยะสั้นเพื่อการมีอาชีพ เป็นต้น ซึ่งในปีนี้ มูลนิธิฯ ยังได้เพิ่มทุนการศึกษาในสาขาใหม่ๆ ตามแนวคิด  “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” เพื่อตอบโจทย์โลกยุคใหม่ รวมทั้งสิ้น 245 ทุน แบ่งเป็น 3 ประเภททุน ได้แก่ ทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ จำนวน 150 ทุน และ ทุนระดับปริญญาตรี สาขา E Sport  จำนวน 45 ทุน โดยเป็นการเปิดรับสมัครผ่านสถาบันการศึกษา 

ส่วน ‘ทุนระยะสั้นเพื่อการมีอาชีพ’ ล่าสุดได้เปิดหลักสูตร ‘ช่างติดตั้งและบำรุงรักษาระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์’ (Solar Cell) จำนวน 50 ทุน เพื่อเรียนรู้หลักการทางเทคโนโลยีและฝึกทักษะพื้นฐานที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และเป็นช่างที่มีคุณภาพ โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศเป็นผู้อบรม ใช้ระยะเวลาเรียนเพียง 3 วัน ก็สามารถนำทักษะความรู้ความสามารถที่ได้ไปประกอบอาชีพ สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว  

ทั้งนี้ ภารกิจมอบทุนการศึกษาตามแนวคิด Learn to Earn จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาทักษะของเยาวชนให้ตอบโจทย์และตรงกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยการเสริมความรู้และทักษะที่ใช้ในการทำงาน (Hard skill) และทักษะทางด้านการเข้าสังคมและอารมณ์ (Soft skill) หรือ ‘ทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21’ (Power Skill) ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานของเยาวชน Generation Z ทั้งในยุคปัจจุบันและในอนาคต

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการให้ทุนแต่ละประเภททุนได้ที่ www.scgfoundation.org และ

เฟซบุ๊ก LEARNtoEARNbySCGFoundation

#มูลนิธิเอสซีจี #รุ่นนี้ต้องรอด #LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด

มูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษา “Learn to Earn” ปี 2565

มูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษา “Learn to Earn” ปี 2565​ สนับสนุนการเรียนรู้ตามแนวคิด “Learn​ to​ Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” มุ่งสร้างอนาคตให้เยาวชนไทย โดยมอบทุนการศึกษาในระดับ ปวส. และ ป.ตรี รวมถึงหลักสูตรระยะสั้น ได้แก่ ด้านอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve ด้านพลังงานสะอาด และ E sport

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการให้ทุนแต่ละประเภททุนได้ดังนี้

  • ทุนระยะสั้น หลักสูตรฝึกอบรมการติดตั้งและบำรุงรักษา ระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์

    เปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 25 เมษายน 2565
    รายละเอียดการรับสมัคร

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกกำลังหอการค้านครปฐมและเครือข่าย ส่งมอบห้องชันสูตรความดันลบ (Modular Autopsy) แห่งแรกของไทย ให้ รพ.นครปฐม

มูลนิธิเอสซีจี นำโดย คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วยคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ผนึกกำลังหอการค้าจังหวัดนครปฐม และมูลนิธิไทยพีบีเอส ร่วมส่งมอบห้องชันสูตรความดันลบ (Modular Autopsy unit) แห่งแรกของไทย มูลค่า 5.17 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลนครปฐม โดยมี ดร.พญ.ดารารัตน์ รัตนรักษ์  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารโรงพยาบาลฯ ร่วมรับมอบ ซึ่งห้องชันสูตรความดันลบนี้ นอกจากจะลดอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 แล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายการให้บริการชันสูตรศพกับจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 700 ราย ต่อปี ลดภาระงานของโรงเรียนแพทย์ รวมถึงต่อยอดการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคโควิด 19 และโรคอุบัติใหม่ในอนาคต

ห้องชันสูตรความดันลบ (Modular Autopsy) มีขนาด 80.38 ตร.ม. สามารถควบคุมแรงดันอากาศได้เหมาะสมและปลอดภัย ทั้งระบบความดันบวก (POSITIVE PRESSURE ROOM) เพื่อกำจัดเชื้อโรคและฝุ่น และระบบความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM) เพื่อจำกัดการแพร่กระจายและลดเชื้อไวรัสออกสู่ภายนอกอาคาร โดยมีพื้นที่การใช้งานทั้งสิ้น 4 ส่วน ได้แก่

  1. AUTOPSY ZONE สำหรับบุคลากรปฏิบัติงานผ่าชันสูตรพลิกศพ โดยระบบการจัดการอากาศใน Zone นี้ใช้ระบบห้องความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM) ออกแบบห้องให้ทำความสะอาดง่ายและ ANTE Zone เพื่อกักอากาศลดการแพร่เชื้อออกสู่ภายนอก
  2. PREPARATION ZONE และ ANTE ROOM สำหรับบุคลากรเพื่อเตรียมตัวเข้าปฏิบัติงาน โดยแบ่งเป็น Locker room สำหรับเก็บสัมภาระ เปลี่ยนชุด PPE โดยระบบการจัดการอากาศใน Zone นี้ ใช้ระบบห้องความดันบวก (POSITIVE PRESSURE ROOM) 
  3. EXIT ZONE และ ANTE ROOM สำหรับบุคลากรออกหลังจากเสร็จสิ้นการปฏิบัติงาน และถอดชุด PPE โดยระบบการจัดการอากาศใน Zone นี้ใช้ระบบห้องความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM)  
  4. Bathroom สำหรับบุคลากรใช้ชำระล้างร่างกายก่อนและหลังการปฏิบัติหน้าที่

คิกออฟ แนวคิด “Learn to Earn” มูลนิธิเอสซีจี จุดประกายคน Gen Z มุ่งปลูกฝังการเรียนรู้เพื่ออยู่รอดในยุคนี้

 “มูลนิธิเอสซีจี” คิกออฟแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด สร้างอนาคตเด็กและเยาวชน ผ่านภารกิจหลักในการมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนคน Gen Z  โดยการเสริมทักษะทางด้านความรู้ความสามารถ (Hard skill) และ ทักษะทางด้านการเข้าสังคมและอารมณ์ (Soft skill) หรือที่เรียกว่า ‘ทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21’ (Power Skill) ซึ่งเป็นทักษะที่มีความจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้และความเข้าใจ โดยดึง สไปร์ท เขื่อน และ ลูกกอล์ฟ มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนคน Gen Z  นอกจากนี้ ยังจับมือกับ GMMTV จัดแคมเปญ CLASS of 21st นำทัพศิลปินคนรุ่นใหม่ในสังกัดร่วมทำภารกิจที่ต้องอาศัยทักษะความรู้และการใช้ชีวิต ทำให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงการเรียนรู้ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “เมื่อก่อน เราอาจจะเคยเชื่อว่าการเรียนในห้องเรียนมีเพียงรูปแบบเดียวที่จำเป็นและเหมาะกับทุกคน แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป  รูปแบบการเรียนรู้ก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย  ยิ่งโลกไร้พรมแดน ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น น้องๆ เยาวชนเองก็รู้จักตั้งคำถามกับตัวเองมากขึ้นว่าตนเองชอบอะไร ถนัดอะไร อยากจะมีชีวิตแบบไหน ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิฯ จึงได้วางแนวทางในการพัฒนาทักษะของเยาวชนให้ตอบโจทย์และตรงกับสภาวการณ์ปัจจุบันผ่านแนวคิด Learn to Earn มุ่งเน้นให้ทุนการศึกษาในการหนุนและเสริมสร้างพัฒนาทักษะให้กับคนรุ่นใหม่ หรือคน Gen Z ด้วยการใช้ทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Power Skill) ทักษะที่มีบทบาทสำคัญในการนำไปใช้ประกอบอาชีพ เช่น นักบริบาล ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ ยูทูปเบอร์ นักกีฬาอีสปอร์ต เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังสนับสนุนการสร้างทักษะเข้าสังคมและอารมณ์  (Social & Emotional skills) ยกตัวอย่างเช่น ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะความฉลาดทางอารมณ์ และทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการติดอาวุธเสริมทักษะให้เยาวชนพร้อมออกไปดำเนินชีวิตสามารถอยู่รอดในโลกปัจจุบันและอนาคตอย่างดีที่สุด

ในส่วนของกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นตลอดปี 2565  มูลนิธิเอสซีจีได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยหนึ่งในพลังที่สำคัญคือกลุ่มผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับชาว Gen Z ทั้ง 3 ท่าน ประกอบด้วย สไปร์ท – ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ แรปเปอร์มากความสามารถ แรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

เขื่อน – ภัทรดนัย เสตสุวรรณ ตัวแทนผู้ที่มีทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างมาก และ ลูกกอล์ฟ – คณาธิป สุนทรรักษ์ ผู้สอนยุคใหม่ขวัญใจเด็ก Gen Z จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวแรงบันดาลใจผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของพวกเขา

สำหรับแคมเปญ ‘CLASS of 21st เป็นการรวมตัวของกลุ่มศิลปินคนรุ่นใหม่ 3 รุ่นจาก GMMTV อาทิ คริส-พีรวัส, ปอนด์-ณราวิชญ์ และ เจมิไนน์-นรวิชญ์ ที่จะต้องมาปฏิบัติภารกิจแบ่งปันความรู้ แชร์ประสบการณ์ และทำความเข้าใจ ‘ทักษะแห่งอนาคต’ ไปพร้อม ๆ กับผู้ชมเพื่อเอาตัวรอดจากภารกิจในคลาสต่าง ๆ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Young Survivors รุ่นนี้…ต้องรอด’ ผ่านช่องทาง YouTube channel GMMTV  

อย่างไรก็ตาม  ยังมีอีกหนึ่งภารกิจหลักของมูลนิธิเอสซีจี  คือ การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน โดยที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาภายใต้แนวคิด Learn to Earn  ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 1,700 ทุน รวมเป็นเงินกว่า 40 ล้านบาท โดยเป็นทุนการศึกษาในระดับ ปวส. และ ป.ตรี รวมถึงหลักสูตรระยะสั้น ได้แก่ ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ด้านอุตสาหกรรม S-curve และ New S-curve ด้านเทคโนโลยี IT รวมถึง ด้านการส่งเสริมอาชีพทั่วไป  

ทั้งนี้ นายศักดิ์ชัย นามเหลา หนึ่งในเยาวชนที่เคยได้รับทุนจากมูลนิธิเอสซีจี ประเภททุนระยะสั้นเพื่อการประกอบอาชีพ โดยปัจจุบันเขาประกอบอาชีพเป็นผู้ช่วยพยาบาล โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดย นายศักดิ์ชัย เปิดเผยว่า “ด้วยสภาพทางการเงินของครอบครัวที่ไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่ผมต้องเตรียมตัวเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าคงไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่พอทราบว่ามูลนิธิเอสซีจีมีทุนระยะสั้นเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งตอบโจทย์การเรียนอะไรก็ได้ที่สามารถเรียนจบออกมาแล้วมีทักษะอาชีพติดตัวเพื่อหางานทำได้อย่างรวดเร็วที่สุด นอกจากได้พัฒนาทักษะในการทำงานที่มีศักยภาพแล้ว ยังสามารถนำทักษะในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นมาปรับใช้เมื่อต้องทำงานจริงได้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณมูลนิธิฯ มากที่ช่วยมอบโอกาสทำให้มีอาชีพติดตัวไปตลอดชีวิต อีกทั้งยังสามารถกลับไปทำงานจิตอาสาช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจอยากทำมาตลอด”

การขยายแนวคิด Learn to Earn จะสามารถสร้างเด็กและเยาวชนให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ นับเป็นพันธกิจหลักของมูลนิธิเอสซีจี เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้าง ‘คน’ ให้เติบโตเป็นคน ‘เก่งและดี’ มีน้ำใจช่วยเหลือสังคมต่อไป สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org  และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARNbySCGFoundation

#LearntoEarn #เรียนรู้เพื่ออยู่รอด #รุ่นนี้ต้องรอด #มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี มอบ “Modular ER” นวัตกรรมห้องฉุกเฉิน New Normal ให้ รพ.มหาราชนครราชสีมา หนุนนักรบด่านหน้าฝ่าวิกฤต และผู้ป่วยโควิดให้ปลอดภัย

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบนวัตกรรมห้องผู้ป่วยฉุกเฉินโมดูลาร์ (Modular ER) มูลค่า 8 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดยมี นพ.ประวีณ ตัณฑประภา ผู้อำนวยการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารโรงพยาบาลฯ ร่วมรับมอบ ซึ่ง Modular ER นี้ นับเป็นนวัตกรรมห้องฉุกเฉินรูปแบบใหม่ ที่จะรองรับการแพร่ระบาดของ COVID – 19 เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยปัจจุบันมีผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ป่วยวิกฤตที่มารับการรักษาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสาน กว่า 200 รายต่อวัน

ห้องฉุกเฉินโมดูลาร์ (Modular ER) มีขนาด 160.99 ตรม. มีจำนวนเตียง 5 เตียง  ออกแบบเพื่อแยกและรองรับผู้ป่วยโควิดฉุกเฉินออกจากผู้ป่วยฉุกเฉินทั่วไป ทำให้สามารถรักษาได้รวดเร็ว
ลดความรุนแรงของการเจ็บป่วย หรือการสูญเสียชีวิต อีกทั้งยังเป็นเกราะป้องกันให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานได้อย่างปลอดภัย
โดยห้องดังกล่าวมีระบบควบคุมแรงดันอากาศอย่างเหมาะสมและปลอดภัย ด้วยระบบความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM) เพื่อจำกัดการแพร่กระจายและลดเชื้อไวรัสออกสู่ภายนอกอาคาร


ข้อมูลประกอบเพิ่มเติม

พื้นที่การใช้งานแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ส่วน คือ

  1. ห้องคัดแยก (ER Zone)

สำหรับคัดแยกและเฝ้าอาการผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 4 ห้องแยก แต่ละห้องเตรียมพร้อมด้วยระบบยังชีพต่างๆ ที่จะเชื่อมต่อกับระบบของโรงพยาบาล ใช้ระบบความดันลบ (NEGATIVE PRESSURE ROOM) โดยแต่ละห้องจะมีการจัดการอากาศแยกออกจาก เพื่อรองรับการจัดกลุ่มผู้ป่วยที่มีระดับความหนักของอาการที่ต่างกัน

  1. ห้องกักอากาศ เอ (ANTE ROOM A)

สำหรับลำเลียงผู้ป่วยเข้าและออก พร้อมจุดทิ้งขยะติดเชื้อต่างๆ

  1. ห้องเจ้าหน้าที่ (STAFF ROOM)  

สำหรับบุคลากร โดยมีการจัดการอากาศให้เป็นความดันบวก (POSITIVE PRESSURE ROOM)

  1. ห้องกักอากาศ บี (ANTE ROOM B.) 

สำหรับบุคลากรเข้าและออกเพื่อการปฏิบัติงาน

  1. พื้นที่เก็บตรวจเชื้อ (SWAB)

สำหรับการเก็บสิ่งส่งตรวจ โดยมีการแยกอากาศระหว่างบุคลากรการแพทย์และผู้ป่วย

  1. ห้องน้ำ (Bathroom)

สำหรับบุคลากรใช้ชำระล้างร่างกายก่อนและหลังการปฏิบัติหน้าที่

ส่งอุปกรณ์ป้องกันโควิด ติดเกราะให้น้องๆ

มูลนิธิเอสซีจี ส่งความห่วงใยถึงมือเด็กและเยาวชน มอบชุดตรวจโควิด 19 (ATK) จำนวน 1,000 ชุด และหน้ากากเฉพาะสำหรับเด็ก จำนวน 1,000 กล่อง ผ่านเครือข่ายจิตอาสา อาทิ สภาเด็กและเยาวชนกลุ่มเขตกรุงเทพใต้ ศูนย์สร้างโอกาสเด็ก พระราม 8 กลุ่มสายไหมต้องรอด และชุมชนตึกแดงบางซื่อ เพื่อให้เด็กๆ มีอุปกรณ์ปกป้อง ยกการ์ดตั้งสูง ปลอดภัยจากโควิด 19 

#มูลนิธิเอสซีจี 

#ช่วยกันแคร์ดูแลกัน 

#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจี ตั้ง “โรงครัวมูลนิธิเอสซีจีเพื่อผู้ประสบอุทกภัย” มอบอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้

อาหารจาก​ “โรงครัวมูลนิธิเอสซีจีเพื่อผู้ประสบอุทกภัย” จำนวน 4,500 ชุด รวมทั้งน้ำดื่ม ได้ส่งถึงมือพี่น้องในพื้นที่อำเภอที่ประสบอุกภัยแล้ว โดยมีเครือข่าย ศอบต. บัณฑิตอาสา ช่วยนำลงพื้นที่​ ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุง อาหารทั้งหมดรับซื้อจากเกษตรกรที่ประสบปัญหาน้ำท่วม

โดยภาพประกอบนี้จากการตั้งโรงครัวและมอบอาหารจากพื้นที่ อ.แว้ง อ. ยี่งอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และ อ.รามัน จ.ยะลา​ 

เราขอให้ทุกชีวิตปลอดภัยและขอส่งกำลังใจให้พี่น้องที่ประสบภัยน้ำท่วม​

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมบริจาคเงินซื้อเสื้อในกิจกรรมสุดพิเศษ “เสื้อสุ่มปันโอกาส”

จะดีแค่ไหน? ถ้าวันวาเลนไทน์ปีนี้  คุณสามารถ “ส่งความรัก” ได้ “ไม่ใช่แค่หนึ่ง” แต่ยังสามารถ “ส่งต่อความรักให้แก่สังคมได้ด้วย” 

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสุดพิเศษ “เสื้อสุ่มปันโอกาส” เพียงร่วมบริจาคเงินซื้อเสื้อในราคาตัวละ 399 บาท สามารถเลือก “สุ่มลายเสื้อ” หรือ” สุ่มเลือก ศิลปิน” ที่มาร่วมออกแบบได้  (มิว ศุภศิษฏ์ – มุก วรนิษฐ์ – แพท พาวเวอร์แพท) 

รายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย มอบเป็นทุนการศึกษาเพื่อแบ่งปันโอกาสให้กับน้องๆ ที่ผู้ปกครองได้รับผลกระทบจากโควิด 19 และขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีโอกาสเรียนต่อเพื่อเป็นอนาคตที่ดีของสังคมต่อไป 

การบริจาคนี้สามารถลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า

พิเศษ.. คุณสามารถร่วมบริจาคซื้อเสื้อสุ่มได้ 2 แบบ (Pre-order)

แบบที่ 1 :  สุ่มเลือกจากลายเสื้อที่ชอบ (เพื่อลุ้นว่าศิลปินคนไหนเป็นคนออกแบบ)

หรือ แบบที่ 2 :  สุ่มเลือกจากศิลปินคนโปรด (เพื่อลุ้นว่าเสื้อลายไหน เป็นฝีมือออกแบบของศิลปินที่คุณเลือก)

งานนี้บอกเลยทั้ง 3 ศิลปิน มิว ศุภศิษฏ์ – มุก วรนิษฐ์ – แพท พาวเวอร์แพท ตั้งใจออกแบบกันมาก พร้อมมีลายเซ็นดิจิทัลของศิลปินบนเสื้อให้ด้วย

เปิดให้บริจาคสั่งซื้อเสื้อสุ่ม ตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 65  เริ่มจัดส่งวันที่ 19 มี.ค. 65 บริการจัดส่งเฉพาะภายในประเทศไทยเท่านั้น

วีธีการสั่งจองเสื้อสุ่ม

1. กดเข้าลิงก์ https://www.scgfoundation.org/meritbridge/project/7/

2. กดปุ่ม “บริจาค” แล้วทำการสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อโอนเงินที่ต้องการบริจาค แล้วแนบสลิปโอนเงิน

3. กรอกจำนวนเงินที่บริจาค

4. ระบบจะแจ้งจำนวนเสื้อที่สามารถสั่งซื้อได้ (399 บาท = 1 ตัว)

5. กรอกข้อมูลผู้บริจาค และเลือกสุ่มเสื้อ

5.1 เลือกจาก ศิลปิน คนโปรด

5.2 เลือกจาก ลายเสื้อ ที่ชอบ

6. กดเลือกไซส์เสื้อ

7. กรอกข้อมูลการจัดส่ง (ชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทรศัพท์-รหัสไปรษณีย์)

8. กดปุ่ม “ส่งข้อมูล” เพื่อยืนยันการบริจาค (สั่งซื้อ)

โครงการปันโอกาส โดยมูลนิธิเอสซีจี ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมปันโอกาสดีๆ ในกิจกรรมครั้งนี้ 

#มูลนิธิเอสซีจี #เชื่อมั่นในคุณค่าของคน #ปันโอกาส #ทำทันทีเมื่อมีโอกาส #เสื้อสุ่มปันโอกาส

#Mewsuppasit

#Mewlions

#Patpowerpat

#แพทพาวเวอร์แพท

#MookWorranit

#มุกวรนิษฐ์

สะพานบุญสะพานใจ ส่งความห่วงใย ให้อบอุ่น ให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช

มูลนิธิเอสซีจี ขอเป็นตัวแทนผู้ร่วมบริจาคทุกท่าน ที่ร่วมบริจาคผ้าห่มผ่าน “สะพานบุญ สะพานใจ​ โดยมูลนิธิเอสซีจี” มอบผ้าห่มส่วนหนึ่งที่ได้จากเงินบริจาคให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 3 แห่ง ใน​ จ.น่าน แพร่ และพิษณุโลก จำนวน 240 ผืน เพื่อให้โรงพยาบาลได้นำผ้าห่ม ไว้ใช้กับผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาล รวมถึงเมื่อออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ คุณหมอจะได้นำไปมอบให้ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยยากไร้ที่ไม่สามารถเดินทางมารักษาที่โรงพยาบาล 

#มูลนิธิเอสซีจี

#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

เครือข่าย “ต้นกล้าชุมชน” และ “ครูอาสา” ร่วมส่งความห่วงใย มอบผ้าห่มอุ่นใจ อุ่นกาย สู้ภัยหนาว

ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ มูลนิธิฯ ร่วมกับเครือข่าย “ต้นกล้าชุมชน” และ “ครูอาสา”  นำผ้าห่มที่ได้รับบริจาคจากโครงการ “สะพานบุญ สะพานใจ โดยมูลนิธิเอสซีจี” โดยเพื่อนพนักงาน SCG และผู้มีจิตศรัทธา ไปทยอยมอบให้แก่เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และครอบครัวที่ยากจน บนดอยสูง พื้นที่ห่างไกล เช่น  อ.อุ้มผาง จ.ตาก  / อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ / อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ /  อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์/ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน / อ.วังสะพุง จ.เลย รวมถึงผู้พิทักษ์ป่า ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  ซึ่งยังคงเผชิญต้องกับสภาพอากาศที่หนาวเย็น

เติมรอยยิ้ม สร้างสุข(า)

วิทยาลัยการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 29 ร่วมเป็นสะพานบุญสะพานใจ กับมูลนิธิเอสซีจี บริจาคเงินกว่า 1,500,000 บาท เพื่อสร้างห้องน้ำ 5 จุด ให้กับ รพ.สมเด็จพระยุพราช (รพร.) 3 แห่ง ได้แก่ รพร.ปัว จ.น่าน , รพร.เด่นชัย จ.แพร่ และ รพร.นครไทย จ.พิษณุโลก เพื่อให้ผู้ป่วย ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และญาติที่มารอรับการรักษา ได้มีห้องน้ำที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงามใช้ เป็นความสุขใจให้ผู้ใช้บริการ และเมื่อใจสบาย ความทุกข์ทางกายก็จะเบาบางลง พร้อมมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น เตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และ เครื่องช่วยฝึกเดินสำหรับผู้ป่วยอ่อนแรง เพื่อให้ทางโรงพยาบาลใช้สำหรับดูแลผู้ป่วยต่อไป

“ต้นกล้าชุมชน” ร่วมส่งมอบความห่วงใยต้านภัยลมหนาว

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ร่วมกับ​ต้นกล้าชุมชน​ โดย​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ นำผ้าห่มไปมอบให้กับกลุ่ม​ผู้สูงอายุในพื้นที่​ห่างไกล​ในจังหวัด​ต่างๆ​ ที่ประสบภัย​หนาว​ เพื่อ​สร้างความอบอุ่น​ เติมเต็มรอยยิ้ม และช่วยบรรเทาความเดือดร้อน​

ถึงจะอยู่​ห่างไกล แต่คนไทย​ไม่ทิ้งกัน

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่ง​ในการสร้างสังคมแห่งการให้อย่างยั่งยืน

#มูลนิธิเอสซีจี

#ช่วยกันแคร์ดูแลกัน

#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน 

#ต้นกล้าชุมชน

มูลนิธิเอสซีจีและตัวแทนผู้ร่วมบริจาคผ่าน “สะพานบุญสะพานใจ โดยมูลนิธิเอสซีจี” ร่วม​สุขสันต์วันเด็กแห่งชาติ​ 2565​ มอบเงินและสิ่งของจำเป็น ให้น้องๆ “มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์ฯ” เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2565 ในโครงการ “Sharing in January Happy Children’s Day 2022”

เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ และวันเด็กแห่งชาติ 2565 มูลนิธิเอสซีจี ได้เปิดให้ประชาชนร่วมบริจาค Online ผ่าน Platform ใหม่ “สะพานบุญ สะพานใจ โดยมูลนิธิเอสซีจี” ให้ทุกท่านได้มีส่วนร่วมในการหยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้กับน้องๆ ในความดูแลของมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เพื่อรวบรวมเงินไปบริจาคและจัดซื้อสิ่งของจำเป็นให้แก่มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ และเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กที่ยากจนเปราะบางเหล่านี้ โดยมูลนิธิเอสซีจีจะสมทบอีก 1 เท่าของเงินบริจาคที่ได้รับ ผ่านโครงการ “Sharing in January Happy Children’s Day 2022”

ทั้งนี้ โครงการได้รับบริจาคในช่วงระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2564 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2565 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 134,247.72 บาท (เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้​ 100,000​ บาท)​ ซึ่งมูลนิธิเอสซีจีได้สมทบอีก 1 เท่า จึงรวมเป็นเงินที่มอบและจัดซื้อสิ่งจำเป็น จำนวน 268,495.44 บาท โดยได้นำไปมอบให้เด็กๆ และตัวแทนทีมงานของมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ พร้อมยังได้มอบหน้ากากผ้าเด็ก จำนวน 200 ชุด แทนความห่วงใยต่อน้องๆ ในสถานการณ์ที่ยังมีการระบาดของโควิด 19

เราขอขอบคุณทุกยอดการร่วมบริจาคผ่าน​ “สะพานบุญสะพานใจ​” กับเรา ร่วมมีส่วนเติมเต็มให้น้องๆ เหล่านี้ ได้มีความสุข เพื่อให้ทุกวัน เป็นวันเด็กของพวกเขา และเติบโตไปเป็นอนาคตที่ดีของพวกเราต่อไป

#มูลนิธิเอสซีจี

#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

——————————————————————————————————————–

มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์ฯ มุ่งเน้นการทำงานด้านการพัฒนาเด็กตามหลักของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ให้ได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมตามวัย ได้รับการปกป้องคุ้มครอง และการมีชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุข “เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก” โดยได้ให้การดูแลเด็กวันละประมาณ 250 คน อายุ 3 เดือน – 5 ปี 

จากครอบครัวยากจนและประสบปัญหา ผ่านบ้านเด็กอ่อนทั้ง 4 หลัง ได้แก่ 

1.บ้านสมวัย (ชุมชนคลองเตย) 

2.บ้านศรีนครินทร์ (ชุมชนกองขยะหนองแขม) 

3.บ้านแห่งความหวัง (ซอยอ่อนนุช 88 แยก 10) 

4.บ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ (ชุมชนเสือใหญ่ประชาอุทิศ)

มูลนิธิเอสซีจี มอบเงิน 10 ล้านบาท สนับสนุน “ศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ ผู้สูงอายุระดับชาติ” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุ ครบวงจรแห่งแรกในไทย

มูลนิธิเอสซีจี นำโดยคุณเชาวลิต เอกบุตร (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี  และคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมสนับสนุนงบประมาณจำนวน 10 ล้านบาท
แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในโครงการ “ศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ” เพื่อสร้างพื้นที่จำลอง Dementia friendly Environment ให้กับผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมเพื่อช่วยกระตุ้นความทรงจำ และพัฒนาการด้านต่างๆ โดยมี ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา (ที่ 3 จากขวา) คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมด้วย ศ.นพ.ประเสริฐ อัสสันตชัย (ที่ 2 จากขวา) รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และประธานโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ และ รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ (ที่ 1 จากขวา) รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร และกิจกรรมเพื่อสังคม เป็นผู้รับมอบ

ศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติ เป็นต้นแบบการดูแลผู้สูงอายุในแนวทางเวชศาสตร์ผู้สูงอายุแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งจะให้บริการผู้ป่วยผู้สูงอายุอย่างครบวงจร ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพกายและใจของผู้สูงวัย พร้อมด้วยศูนย์วิจัย ศูนย์ฟื้นฟู เป็นแหล่งฝึกอบรมวิทยาการด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย ผู้ดูแล และประชาชนทั่วไป 

มูลนิธิเอสซีจี สนับสนุนงบประมาณ 8 ล้านบาท แก่มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ ในโครงการ “New Immunotherapy ภูมิคุ้มกันบำบัด” รักษามะเร็งเต้านม สำเร็จแห่งแรกของโลก

มูลนิธิเอสซีจี นำโดยคุณเชาวลิต เอกบุตร (ที่ 2 จากขวา) กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี  พร้อมด้วย คุณสุวิมล  จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี (ที่ 1 จากขวา) ร่วมสนับสนุนงบประมาณจำนวน 8 ล้านบาทแก่ มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ ในโครงการ “New Immunotherapy ภูมิคุ้มกันบำบัด” รักษามะเร็งเต้านม โดยมี รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ (ที่ 2 จากซ้าย) หัวหน้าศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถเพื่อมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นผู้รับมอบ

ระบบภูมิคุ้มกัน (New Immunotherapy) เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษามะเร็ง รักษาโดยใช้เซลล์ภูมิคุ้มกันพื้นฐานที่มีมากที่สุดในร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (T-cell) แล้วให้ไปกำจัดเซลล์มะเร็ง
โดยที่ผ่านมาศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถเพื่อมะเร็งเต้านม สามารถรักษาคนไข้รายแรกสำเร็จ และมีแผนที่จะนำระบบภูมิคุ้มกันบำบัดมาช่วยรักษาคนไข้มะเร็งเต้านมรายอื่นๆ ต่อไป

ส่งมอบถุงยังชีพ​ ฝาก “​เรื่องเล่าเช้านี้​” ส่งกำลังใจถึงผู้ประสบอุทกภัย

คุณสุวิมล​ จิวาลักษณ์​ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี​ ได้มอบ​ถุงยังชีพ​ ที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้สิ่งของจำเป็นช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจำนวน 1,000 ชุด​ มูลค่า 400,000 บาท ถึงมือรายการ​ “เรื่องเล่าเช้านี้”​ เรียบร้อยแล้ว พร้อมส่งมอบเพื่อฝ่าฟันอุทกภัยในครั้งนี้

เราขอร่วมเป็นกำลังใจ พร้อมก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน

ร่วมมือส่งต่อน้ำใจ​ มอบกำลังใจฝ่าภัยน้ำท่วม

มูลนิธิเอสซีจี​ เร่งทยอยให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหลายจังหวัดจากผลของพายุเตี้ยนหมู่

ขอขอบคุณทุกความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ที่ทำให้การช่วยเหลือมอบถุงยังชีพทำได้ทันการณ์ ทั้งยังร่วมลงพื้นที่ฝ่าน้ำที่ท่วมสูง เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้ที่เดือดร้อน ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ ลพบุรี และสุโขทัย​  ผ่านเครือข่ายสำนักงานภาค SCG ผู้แทนจำหน่าย ดีเอ็น 33 กรุ๊ป จ.ลพบุรี ย่งเส็งโฮมมาร์ท จ.เพชรบูรณ์ CSC (CPAC Solution Center) นครราชสีมา และองค์กรทำดี เครือข่ายจิตอาสา

Youth In Charge แพลตฟอร์มรวมพลังคนรุ่นใหม่ สู่การเปลี่ยนแปลงสังคมและพัฒนาประเทศต่อไปอย่างยั่งยืน

18 กันยายน 2564, กรุงเทพมหานครบริษัท อิน เดอะ ลีด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด จัดงาน  Youth In Charge The Kickoff ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อเปิดตัว “Youth In Charge” แพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำและโอกาสของเยาวชนไทย โดยผนึกกำลังกับภาคีพันธมิตร ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และเครือข่ายสถาบันการศึกษา ร่วมกันสร้างพื้นที่ให้กับเยาวชนที่มีความสนใจและความมุ่งมั่นในการเป็นเยาวชนผู้นำการเปลี่ยนแปลง ได้มีโอกาสพบปะ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และทำงานร่วมกัน โดยได้ริเริ่ม “Youth In Charge Leadership Academy” ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนกลุ่มดังกล่าวได้เรียนรู้จากผู้นำตัวจริงจากทุกภาคส่วน ในบรรยากาศการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้เยาวชนกล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าตั้งคำถาม และกล้าตั้งข้อสงสัยต่อกรอบความคิดและความเชื่อเดิมๆ เพื่อต่อยอดนำไปสู่การขับเคลื่อนสังคมและพัฒนาประเทศของเราให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

เอริกา เมษินทรีย์ ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์ม Youth In Charge กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิน เดอะ ลีด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและฉับพลัน มีการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลกได้อย่างสะดวกสบาย พวกเขาจึงมีทั้งความตื่นตัว ตื่นรู้ มีมุมมองที่แปลกใหม่ และมีความสนใจที่หลากหลาย ในเมื่อโลกนอกรั้วโรงเรียนและนอกรั้วมหาวิทยาลัยของเขากว้างขึ้นเรื่อยๆ สถาบันการศึกษาและระบบการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ระบบนิเวศที่เหมาะสมเสมอไป สำหรับการปลดปล่อยพลัง แสดงศักยภาพ และพัฒนาความเป็นผู้นำของเยาวชน เราจึงริเริ่มแพลตฟอร์ม Youth In Charge ขึ้นมาเพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้ปลดปล่อยความสามารถที่มีออกมาอย่างเต็มกำลัง โดยล่าสุด Youth In Charge และภาคีพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)  มูลนิธิเอสซีจี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ริเริ่ม Youth In Charge Leadership Academy เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการพัฒนาศักยภาพ ความเป็นผู้นำ และโอกาสของเยาวชนไทย ที่จะเปิดโลกนอกโรงเรียน ขยายกิจกรรมและการเรียนรู้ของเยาวชนออกนอกสถาบันการศึกษา รวมถึงเปิดโอกาสให้เยาวชนจากต่างพื้นเพและความสนใจได้ทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยน และเรียนรู้จากกันและกัน ตลอดจนให้เยาวชนได้มีบทบาทนำหรือร่วมนำในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนวาระสำคัญของชาติ ล่าสุดได้ประกาศรายชื่อเยาวชนผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วม Youth In Charge Leadership Academy จำนวน 85 คน โดยมีอายุตั้งแต่ 16 – 26 ปี จากทั้งในกรุงเทพมหานครและจากต่างจังหวัด ครอบคลุมเยาวชนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายความรู้ความสามารถและความสนใจ เราภูมิใจและเชื่อว่าเยาวชนผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนของความหลากหลายของเยาวชนไทยในปัจจุบันอย่างแท้จริง

Youth In Charge Leadership Academy จะเริ่มกิจกรรมอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ตุลาคม 2564 โดยเน้นการปฏิสัมพันธ์ การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกันที่สนุกสนาน และการท้าทายเยาวชนให้ลองคิดและลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ ตลอดจนพัฒนาและปรับปรุงทักษะที่พวกเขาอาจยังทำได้ไม่ดี เพื่อนำไปสู่การค้นพบศักยภาพความเป็นผู้นำที่แท้จริงของเยาวชนแต่ละคน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แพลตฟอร์มที่เราได้สร้างขึ้นจะผลักดันให้เยาวชนกลุ่มนี้เป็นพันธมิตรกัน หาวิธีที่จะเสริมและเติมเต็มซึ่งกันและกัน ตลอดจนเติบโตไปด้วยกันในอนาคตอีกด้วย

Youth In Charge Leadership Academy จะถูกเสริมทัพด้วยผู้นำที่มากด้วยประสบการณ์ทั้งจากภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคประชาสังคม ที่จะมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นผู้นำองค์กร การบริหารจัดการคน การเป็นผู้นำในภาวะวิกฤติ การรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า รวมไปถึงนำองค์ความรู้เฉพาะด้านมาถ่ายทอดให้กับเหล่าเยาวชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า Youth In Charge Leadership Academy และเยาวชนผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Future Changers) 85 คนแรกนี้ จะเป็นแรงกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ อีกทั้งช่วยเป็น “ตัวคูณ” ในการสร้างสังคมแห่งโอกาสและขยายเครือข่ายต่อไปยังเยาวชนกลุ่มอื่น ๆ ได้

เราคาดหวังว่าแพลตฟอร์มและเครือข่ายเยาวชนผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังสร้างขึ้นมานี้ จะเป็นตัวอย่างให้สังคมเห็นว่าเยาวชนในปัจจุบันมีความรู้ความสามารถ มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง มีความหลากหลาย มีศักยภาพที่ล้นเหลือ และเมื่อมารวมตัวกันจะเกิดพลังมหาศาล ที่สำคัญที่สุด เราอยากให้ทุกคนเห็นว่า พื้นที่สำหรับการรวมตัวกันอย่างสร้างสรรค์ของเยาวชนและผู้ใหญ่จากทุก ๆ ฝ่าย สามารถเกิดขึ้นได้จริง และแม้สิ่งที่เยาวชนคิดหรือทำในวันนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ แต่หากได้รับการสนับสนุนและความร่วมมืออย่างจริงจังของผู้ใหญ่ ก็สามารถที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและก้าวที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน”

ติดตามรายละเอียดแพลตฟอร์ม Youth In Charge เพิ่มเติมได้ที่ www.youthincharge.net หรือที่เพจ  เฟซบุ๊ก Youth In Charge : https://web.facebook.com/YouthInChargeThailand

มูลนิธิเอสซีจีส่งความห่วงใยผ่านวีดีทัศน์ เสริมความรู้ สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับโรคโควิด 19 เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการดูแลป้องกัน และการแยกกักตัวของผู้ป่วย

มูลนิธิเอสซีจี ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในประเทศไทยที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลนิธิฯ มีความห่วงใยพี่น้องชาวไทยที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน จึงได้จัดทำวีดีทัศน์เพื่อเสริมความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคโควิด 19  จำนวน 2 ตัว ประกอบด้วย

1. วิดีทัศน์แนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโควิด – 19 กลุ่มสีเขียว ในการแยกกักตัว (Home Isolation) 

2. วีดีทัศน์แนะนำการยกระดับการดูแลสุขอนามัยเพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อโควิด 19

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการให้องค์ความรู้ในการดูแลสุขอนามัยตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ และดูแลตัวเองในกรณีเจ็บป่วย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ตลอดจนการลดการแพร่เชื้อ ตามแนวทางการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมแบบ New Normal ซึ่งจะยังประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศไทยให้สามารถเอาชนะก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้โดยเร็ว

โควิดป้องกันได้ ใช้ความรู้ความเข้าใจ สร้างวินัย ให้ความร่วมมือ

ลิงค์วีดีทัศน์

  1. วิดีทัศน์แนะนำแนวทางการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโควิด 19  กลุ่มสีเขียว ในการแยกกักตัว (Home Isolation) https://www.youtube.com/watch?v=o6b7iELpsfY
  2. วีดีทัศน์แนะนำการยกระดับการดูแลสุขอนามัยเพื่อป้องกันและลดการแพร่เชื้อโควิด 19
    https://www.youtube.com/watch?v=l4XvYH-iBew

สนับสนุนเยาวชนร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานยุโรป ครั้งที่ 7 (EuroSkills Graz 2021) สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย (Health and Social Care)

ประเทศไทยได้รับเชิญจาก WorldSkills International ให้จัดส่งเยาวชนไปร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานยุโรป ครั้งที่ 7 (EuroSkills Graz 2021) สาขาการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย (Health and Social Care) ระหว่างวันที่ 22-26 กันยายน 2564 นี้ ณ เมืองกราซ สาธารณรัฐออสเตรีย

มูลนิธิเอสซีจี จึงร่วมกับโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คัดเลือกน้องๆ นักศึกษาจากคณะพยาบาลศาสตร์ เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันครั้งนี้ 

โดยน้องๆ มุ่งมั่นเก็บตัวฝึกซ้อมอย่างหนัก  ครูฝึกทุกท่านต่างจำลองสถานการณ์จริง ให้ได้ซ้อมมือจริง และก็หักคะแนนจริงด้วย เพื่อให้น้องๆ ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดก่อนไปแตะขอบสนามเร็วๆ นี้

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบ “นวัตกรรมห้องเอกซเรย์โมดูลาร์” หลังแรกของไทย มูลค่า 2 ลบ.ให้ รพ.สนามผู้สูงอายุบางขุนเทียน หนุนเหล่านักรบเสื้อขาวต่อสู้โควิด-19

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบห้องเอกซเรย์โมดูลาร์  (Modular X-Ray Unit)  มูลค่า 2 ล้านบาท แก่ รพ.สนาม ณ รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน ซึ่งปัจจุบันรองรับผู้ป่วยกว่า 700 เตียง เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างปลอดภัยในการวินิจฉัยภาวะปอดอักเสบในผู้ป่วยโควิด-19

ห้องเอกซเรย์โมดูลาร์นี้ นับเป็นนวัตกรรมแรกของไทย ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ โดยทีม SCG Living Solution ซึ่งก่อสร้างในโรงงานใช้เวลาติดตั้งหน้างาน เพียง 7 วัน โดยห้องดังกล่าวถูกจัดการอากาศให้มีความดันลบ (Negative Pressure Room)  ช่วยควบคุมแรงดันและการหมุนเวียนของอากาศและป้องกันอากาศรั่วไหล ถูกจัดการอากาศให้เหมาะสมก่อนปล่อยสู่ภายนอก เพื่อลดการกระจายของเชื้อไวรัส สร้างความปลอดภัยและมั่นใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์และคนไข้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้พื้นที่การใช้งานถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน  คือ  

  1. Control room

สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เป็นพื้นที่การปฏิบัติเพื่อควบคุมเครื่อง X-ray มีผนังกันรังสีเพื่อความปลอดภัย สื่อสารกับคนไข้ผ่านระบบสื่อสาร 

  1. X-ray room

สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ภายในติดตั้งเครื่อง X-ray รองรับการเชื่อมต่อระบบไอทีเข้าสู่ส่วนกลางของโรงพยาบาล

โดยวัสดุต่างๆ เช่น ผนัง กระจก และประตู ออกแบบเพื่อป้องกันรังสีเอกซเรย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านรังสีด้วยเช่นกัน

สามารถรับชมคลิปได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=3ahw6OfVmG0

มูลนิธิเอสซีจี มอบถุงน้ำใจให้ฮีโร่กู้ภัย ส่งความห่วงใยให้กลุ่มคนดีจิตอาสา

มูลนิธิเอสซีจีร่วมส่งกำลังใจและความห่วงใยให้พี่น้องกู้ภัยและจิตอาสา ที่เข้าระงับเหตุและช่วยเหลือประชาชนจากเหตุเพลิงไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด โดยมีคุณโชติชัย จันทร์วัฒรังกูล Manager – MD Office บริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด ใน SCGP และคุณพีรดนย์ ทองแท้ ผู้ช่วยกรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ตัวแทนมูลนิธิเอสซีจี มอบถุงน้ำใจจำนวน 100 ชุด ให้กับผู้แทนมูลนิธิร่วมกตัญญูและป้องกันสาธารณภัยจังหวัดสมุทรปราการเป็นผู้รับมอบ

ภายในถุงน้ำใจประกอบด้วยข้าวสาร ของใช้จำเป็น รวมทั้งชุดสเปรย์แอลกอฮอล์ เพื่อแทนกำลังใจและความห่วงใยถึงกลุ่มอาสากู้ภัยที่เข้าช่วยเหลือในเหตุการณ์นี้ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการได้มอบให้ผู้แทนหน่วยงานนำไปกระจายให้ทีมกู้ภัยต่อไป

เชิญชวนเพื่อนพนักงานเอสซีจี บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนเตียงสนามกระดาษ ในโครงการ “สะพานบุญ​ สะพานใจ​ สู้ภัยโควิด​-19” แก่ผู้ป่วยโควิด-19​ ทั่วประเทศ

เมื่อโควิด-19 ยังระบาด แต่ขาดแคลนเตียงสนาม …แล้วผู้ป่วยจะได้รับการรักษาได้อย่างไร

มูลนิธิเอสซีจี​ ขอชวนเพื่อนพนักงานเอสซีจีร่วมบริจาคโครงการ​ “สะพานบุญ​ สะพานใจ​ สู้ภัยโควิด​-19” เพื่อสนับสนุน​เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี​ แก่ผู้ป่วยโควิด-19​ ที่รอคอยเข้ารักษาตัวกว่าหลายพันคนทั่วประเทศอย่างเร่งด่วน​  โดยเมื่อบริจาคแล้วมูลนิธิเอสซีจี จะบริจาคสมทบอีก 1 เท่า​จากยอดบริจาคทั้งหมด

สนใจ​ดูรายละเอียดและคลิกบริจาคง่ายๆ​ ได้ที่ ​

https://www.scgfoundation.org/scgfmeritbridge/ep3/

* เปิดรับบริจาควันนี้- 31 กรกฎาคม 2564 

* บริจาคผ่านมูลนิธิเอสซีจี สามารถลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า

พิเศษ​! บริจาคแล้วกรอกแบบสอบถามให้แก่เรา ลุ้นรับของที่ระลึก​จากมูลนิธิเอสซีจี​ จำนวน​ 50​ รางวัล​ 

การให้ครั้งนี้ของท่าน จะทำให้ผู้ป่วยโควิด-19​ อีกหลายคนได้เข้ารับการรักษา​จากแพทย์ 

*โครงการภายใน เฉพาะเพื่อนพนักงานเอสซีจี*

#มูลนิธิเอสซีจี #ช่วยกันแคร์ดูแลกัน #เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจี มอบเครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูงแก่สถาบันประสาทวิทยา

คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วยคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ร่วมส่งมอบเครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง แก่สถาบันประสาทวิทยา มูลค่า 2 ล้านบาท โดยมี นพ. ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา และ พญ.ทัศนีย์ ตันติฤทธิศักดิ์ เป็นตัวแทนรับมอบ

โดยเครื่องดังกล่าว สามารถช่วยตรวจผู้ป่วยโรคทางระบบประสาทที่มีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจตีบ หัวใจโต โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น ซึ่งเป็นการตรวจด้วยการใช้การสะท้อนกลับของคลื่นเสียงความถี่สูงและรายงานผลเป็นภาพให้เห็นบนจอ ซึ่งจะแสดงรูปร่าง ขนาด การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจอย่างชัดเจน

ด้วยใจไม่ทิ้งกัน

มูลนิธิเอสซีจี ส่งคลิป “ด้วยใจไม่ทิ้งกัน” เพื่อส่งมอบพลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และคนไทยจิตอาสาทุกคน เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขายังคงเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อให้เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

สามารถรับชมคลิปได้ที่​ https://youtu.be/AHkSkVSbPWE

เกราะป้องกัน พร้อมกำลังใจ “มูลนิธิเอสซีจี” ส่งถึง “องค์กรทำดี”

มูลนิธิเอสซีจี ได้มอบ “แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ (Patient Isolation Capsule)” โดยพี่แป๊ด สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบให้แก่ทีมจิตอาสา “องค์กรทำดี” โดยมี คุณบุ๋ม ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ประธานองค์กรทำดี เป็นตัวแทนรับมอบ ซึ่งทีมงานพร้อมจะนำไปใช้งานทันทีเพื่อเคลื่อนย้าย และรับส่งผู้ป่วยโควิด-19​ ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เพื่อให้จิตอาสาปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยต่อไป

มูลนิธิเอสซีจีส่งพลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง มอบนวัตกรรม ห้องแยกเชื้อความดันลบ 12 ห้อง มูลค่า 3 ล้านบาท แก่โรงพยาบาลราชวิถี

จากการแพร่ระบาดระลอก 3 ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกระจายครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
โรงพยาบาลราชวิถีเป็นหนึ่งในหน้าด่านที่ต้องรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 เป็นจำนวนมาก ทำให้อุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 และห้องไอซียู ไม่เพียงพอ ด้วยความห่วงใยในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ และความปลอดภัยของผู้ป่วยโควิด-19

มูลนิธิเอสซีจีนำโดยสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี จึงเร่งส่งมอบห้องแยกเชื้อความดันลบ จำนวน 12 ห้อง มูลค่า 3,000,000 บาท แก่โรงพยาบาลราชวิถี โดยมีนายแพทย์สุกรม ชีเจริญ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ รพ.ราชวิถี เป็นผู้รับมอบ เพื่อช่วยให้ทีมแพทย์สามารถรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นได้อย่างทันท่วงที

มูลนิธิเอสซีจี มอบฉากกั้นสำหรับการฉีดวัคซีน ให้กับ​ รพ. ศิริราช

มูลนิธิเอสซีจี ได้ส่งมอบฉากกั้นสำหรับการฉีดวัคซีน ให้กับ​ รพ. ศิริราช  โดยติดตั้งไว้ที่คณะพยาบาลศาสตร์ ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID -19 ให้กับประชาชนไปตลอดทั้งปีนี้  โดยได้รับความร่วมมือในการออกแบบและติดตั้ง จากทีมงาน Cement Board SCG  เพื่อที่โรงพยาบาลจะได้มีบอร์ดที่สวยงามแข็งแรงไว้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง และสามารถบริการประชาชนได้อย่างเต็มที่ต่อไป

มูลนิธิเอสซีจี ส่งแรงส่งใจ ช่วยเหลือพี่น้องชุมชนคลองเตย

มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมกับสถานีโทรทัศน์ Thai PBS จัดส่งอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อ ให้กับโรงพยาบาลสนามศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด-19   (วัดสะพาน​ พระโขนง) เขตคลองเตย​ กทม. เพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อในคลัสเตอร์คลองเตย  โดยได้มอบ

  • หน้ากากเด็ก 300 ชุด
  • ถุงมือยาง 2,000 คู่  
  • หน้ากาก N95 100 ชิ้น
  • ปรอท​ Thermometer 20 อัน

เรายังขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

(ขอขอบคุณภาพจาก​รายการเรื่องเล่าเช้านี้และเทใจดอทคอม)

มูลนิธิเอสซีจี มอบนวัตกรรม “ห้องป้องกันเชื้อความดันลบ (Negative Pressure Isolation Room)” ให้ รพ.พระมงกุฎเกล้า

จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19​ ในตอนนี้​ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความปลอดภัยระหว่างปฏิบัติหน้าที่​ มูลนิธิเอสซีจี​ จึงได้มอบ​ “ห้องป้องกันเชื้อความดันลบ (Negative Pressure Isolation Room)” ให้แก่​ รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19  ซึ่งเป็นนวัตกรรมอุปกรณ์เสริมพิเศษที่เหมาะกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้แพทย์และพยาบาลสามารถรักษาผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงที​ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นๆ​

เพราะความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เราผ่านวิกฤตโควิด-19

โครงการ “สะพานบุญ สะพานใจ สู้ภัยโควิด-19” มอบนวัตกรรม “แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบขนาดเล็กสำหรับเข้าเครื่อง CT SCAN” ให้ รพ.ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์

มูลนิธิเอสซีจี​ และเพื่อนพนักงานเอสซีจี ได้ส่งมอบ “แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบขนาดเล็กสำหรับเข้าเครื่อง CT SCAN” ให้​ รพ.ค่​ายธนะรัชต์​ เรียบร้อยแล้ว​ เพื่อลดความเสี่ยงในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดที่มีอาการหนักในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์​ โดยได้นำเงินที่ได้จากการบริจาคของเพื่อนพนักงานเอสซีจีและพี่ๆ​ จากชมรมช้างปูน​ ที่ร่วมโครงการ​ “สะพานบุญ​ สะพานใจ​ สู้ภัยโควิด-19” มาจัดซื้อและมอบให้​แทนความปรารถนาดีและห่วงใยจากพวกเราชาวเอสซีจี

พวกเราขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย คุณหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอให้ทุกท่านปลอดภัยจากโควิด-19

มอบห้องอาบน้ำให้แก่โรงพยาบาลสนามจังหวัดเชียงใหม่

มูลนิธิเอสซีจี และ SCG North Chain ได้ส่งมอบห้องอาบน้ำจำนวน 12 ห้อง ซึ่งผลิตโดย Service Solution Unit – Modular Bathroom, SCG ให้โรงพยาบาลสนามจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว​  เพื่อรองรับการใช้งานของผู้ป่วยที่กำลังรับการรักษาในโรงพยาบาลสนามให้ได้รับความสะดวกและมีสุขอนามัยที่ดี​

เอสซีจี และมูลนิธิเอสซีจี เดินหน้าช่วยไทยพ้นโควิด 19 ระลอกใหม่ 
เร่งส่งมอบเตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี นวัตกรรมเพื่อสังคมจากกระดาษรีไซเคิล 100% แข็งแรง ปลอดภัยช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด 19 และบุคลากรทางการแพทย์

เอสซีจีและมูลนิธิเอสซีจี เร่งส่งมอบนวัตกรรมโควิด 19 เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือในภาวะเร่งด่วน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ ทำให้หลายโรงพยาบาลเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และเตียงสำหรับรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสังคม เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี (SCGP Paper Field Hospital Bed) ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล 100% ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ เพื่อรองรับการใช้งานของสรีระของคนเอเชีย น้ำหนักเบา ประหยัดพื้นที่ขนส่งและการจัดเก็บ ประกอบง่ายใน 8 นาที โดยไม่ต้องใช้กาว ใช้ได้นาน 3 เดือน หากไม่โดนน้ำ และรับน้ำหนักได้ถึง 100 กิโลกรัมในแนวราบ ทั้งนี้ มีการส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศจำนวนกว่า 3,500 เตียง เพื่อช่วยยกระดับความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และผู้ใกล้ชิด ได้ทันต่อสถานการณ์

ทั้งนี้ การพิจารณาให้การสนับสนุนหน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับ “เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี” ดังกล่าว จะพิจารณาจัดสรรตามความเหมาะสม เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ในปัจจุบันให้ได้เต็มกำลังความสามารถที่สุด

มูลนิธิเอสซีจี เปิดรับสมัครการประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2564 หรือ Young Thai Artist Award 2021 รางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

มูลนิธิเอสซีจี เปิดพื้นที่ให้เยาวชนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 15-25 ปี ทั่วประเทศ ที่มีใจรักการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ มาปลดล็อคพรสวรรค์ ประลองความคิดสร้างสรรค์ ประชันไอเดียศิลป์ เพื่อแจ้งเกิดเป็นยุวศิลปินเลือดใหม่ในวงการศิลปะกับโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2564 หรือ Young Thai Artist Award 2021 รางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เวทีการประกวดศิลปะสำหรับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ น้องๆ สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ถึง 6 สาขา ได้แก่ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี โดยผู้ชนะรางวัลผลงานยอดเยี่ยมแต่ละสาขาจะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัล 300,000 บาท ส่วนรางวัลดีเด่นจะได้รับถ้วยรางวัลโครงการฯ และเงินรางวัล 50,000 บาท

น้องๆ เยาวชนไทยหัวใจศิลป์ที่สนใจปลดปล่อยพลังความสามารถด้านศิลปะอย่างสร้างสรรค์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัคร Online ได้ที่ www.youngthaiartistaward.com  พร้อมปลดล็อคพรสวรรค์ รังสรรค์ศิลป์ตั้งแต่วันนี้ – 30 กรกฎาคม 2564 (วันปิดรับสมัครแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา กรุณาศึกษาคุณสมบัติและวิธีการสมัคร โดยละเอียด)

สนใจติดตามความเคลื่อนไหวคลิก www.facebook.com/YoungThaiArtistAward/  และ www.instagram.com/youngthaiartistaward/

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ SCGP ร่วมส่งมอบ “เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี (SCGP Paper Field Hospital Bed)” เพื่อรองรับผู้ป่วยจากการระบาดของโควิด – 19 ระลอกเมษายน 2564

แม้เป็นช่วงสงกรานต์ เราก็ไม่หยุดส่งความช่วยเหลือ ยังคงเดินหน้าการช่วยเหลือในสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดในตอนนี้  มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ SCGP ร่วมส่งมอบ “เตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี (SCGP Paper Field Hospital Bed)” และมุ้ง จำนวน 200 ชุด ให้แก่โรงพยาบาลสนาม เพื่อดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 โดยติดตั้งที่อาคารกีฬาในร่ม ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (บางบอน) ซึ่งเปิดในวันที่ 13 เมษายน

นอกจากนี้ ยังได้ส่งมอบเตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี  เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับโรงพยาบาลสนาม ใช้ดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19  ให้แก่
– รพ.สนาม ณ ศูนย์ฝึกอบรมและปฎิบัติธรรมศิริราช จ.นครปฐม  
– รพ.สนาม จ.ชลบุรี  
– รพ.สนาม จ.สมุทรปราการ
– รพ.สนาม จ.นครราชสีมา 
โดยได้นำเตียงสนามกระดาษเอสซีจีพีไปติดตั้งเพื่อรองรับผู้ป่วยแล้ว

มูลนิธิเอสซีจีและ SCGP ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน 

#มูลนิธิเอสซีจี​
#ช่วยกันแคร์ดูแลกัน
#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูป ให้โรงพยาบาลสนามของกรุงเทพมหานคร

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูปจำนวน 8 ห้อง ให้โรงพยาบาลสนามของกรุงเทพมหานคร โดยมี นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และ​ นพ.ชัยยศ เด่นอริยะกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เป็นตัวแทนรับมอบ

ห้องน้ำดังกล่าวเป็นห้องน้ำที่ผลิตเสร็จพร้อมใช้จากโรงงานเพื่อควบคุมคุณภาพ และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยใช้เวลาติดตั้งที่หน้างานเพียง 1 วัน เพื่อความรวดเร็วในการเตรียมความพร้อมรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเร่งด่วน ที่โรงพยาบาลสนามแห่งนี้

มูลนิธิเอสซีจี ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

พบปะกัลยาณมิตร มูลนิธิสายธาร เครือเบทาโกร แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานร่วมกับมูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี ต้อนรับทีมงานมูลนิธิสายธาร เครือเบทาโกร นำโดยคุณจักริน แต้ไพสิฐพงษ์ กรรมการมูลนิธิสายธาร และ คุณนิวิฐ ตั้งเลิศไพบูลย์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิสายธาร มีคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ต้อนรับ โดยใช้เวลาคุณภาพแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์ร่วมกัน ได้เห็นสายธารน้ำใจของคนในสังคมที่ร่วมมือกันทำงานอย่างเต็มที่ด้วยศักยภาพที่มีอยู่

#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน
#มูลนิธิเอสซีจี

แรงบันดาลใจจากน้องนักเรียนทุน Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี : “ทำดีให้ผีเห็น” เสี้ยวหนึ่งของชีวิต ขออุทิศเพื่อสังคม

“โอมเริ่มต้นแรงบันดาลใจในการทำความดี จากการเห็นลูกพี่ลูกน้องทำงานกู้ภัย บวกกับตัวเองเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงได้มาเป็นส่วนหนึ่งของอาสาสมัครกู้ภัยจังหวัดแพร่ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย/ผู้เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ พ่วงแบตเตอรี่ ลากรถ เก็บศพ อื่นๆ ก็ทำหมด ตลอด​ 24​ ชม.ครับ และแม้ตอนนี้ประเทศไทยจะเจอกับการแพร่ระบาดของ​ COVID-19 เวลาออกเคสรับผู้ป่วยหรือรับเคสผู้บาดเจ็บ จึงต้องสวมใส่แมสก์ ถุงมือ ชุดป้องกันตัวเอง อะไรต่างๆ​ นานา เเม้ว่าจะอึดอัด ร้อน หายใจไม่ออก​ แต่ก็ต้องใส่เพื่อป้องกันตัวเอง แต่การทำความดีนี้ก็ยังมีกำลังใจดีๆ จากคนรอบข้าง จากพี่ๆ​ น้องๆ และที่สำคัญคือได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของญาติผู้ป่วยหรือความชื่นชมจากผู้ที่ประสบภัยที่ส่งมอบมาให้ แต่ก็มีบางทีเหมือนกันที่ท้อ ที่เหนื่อยล้า แอบน้อยใจบางเป็นบ้างครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะต้องสู้และอดทน เข้มแข็งเพื่อประชาชนผู้ประสบภัย ดั่งคำว่า “เราปิดทองหลังพระเพื่อสละบาป ใครไม่ทราบช่างเขาแต่เราเห็น จะหน้าพระหลังพระไม่จำเป็น สิ่งที่เห็นเด่นชัดคือ​ “ศรัทธา”

“ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขา แต่ผมรักในความเสียสละครั้งนี้” 

นายพนัชกร เขื่อนแก้ว (โอม) นักเรียนทุน Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี วิทยาลัยอาชีวศึกษาแพร่ สาขาอาหารและโภชนาการ

#มูลนิธิเอสซีจี
#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน 

แรงบันดาลใจจากน้องนักเรียนทุน Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี : “หูก็ฟัง มือก็ทำ”

“ช่วงนี้ของผมก็คงเหมือนกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ต้องเรียนออน์ไลน์ที่บ้าน แต่อาจจะต่างตรงที่ว่าทางบ้านของผมฐานะค่อนข้างลำบาก ผมจึงต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เหนื่อยแต่ก็ทำได้ครับ”

ทุกเช้า ผมก็จะเช็คชื่อเข้าเรียน แล้วก็เข้าไปทำงานซ่อมรถที่อู่ที่ผมเคยไปฝึกงาน เรียนไปทำงานไป เรียกว่า “หูก็ฟัง มือก็ทำ” เลยครับ วิชาไหนที่ต้องวีดีโอคอล ผมก็จะคอลตอนที่ผมซ่อมรถไปด้วย ซึ่งอาจารย์ท่านก็เข้าใจว่าผมมีความจำเป็นต้องหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว

ตัวผมเองก็กลัวติดโควิดนะครับ แต่เพราะต้องการหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ผมเลยเลือกที่จะเรียนออนไลน์ไปด้วยทำงานไปด้วย อย่างไรก็ตามผมก็ใส่แมสก์ตลอดเวลา ฉีดแอลกอฮอล์ ล้างมือตลอด ไม่ละทิ้งหน้าที่ในการป้องกัน

#ทุกคนอาจจะเจอปัญหาที่ใหญ่ในช่วงนี้ ทุกคนอาจจะทน แต่ผมอยากให้ทุกๆคนสู้ๆแล้วผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันครับ”

เสียงจากน้องนักเรียนทุน Sharing the Dream โดยมูลนิธิเอสซีจี นายชญาวัตต์ กรรรณเกิดผล วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา สาขาช่างยนต์

#มูลนิธิเอสซีจี
#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนคนเก่งและดี ที่เข้าร่วมแข่งขันในรายการ “เก่งจริงชิงค่าเทอม”

คุณสุวิมล​ จิวาลักษณ์ กรรมการ​และผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี​ มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กเก่งและดี ที่เข้าร่วมแข่งขัน​ในรายการ​ “​​เก่ง​จริง​ชิง​ค่า​เทอม” ทางช่อง​ one​31​ ที่ขาดแคลน​ทุนทรัพย์​ โดยมี​พิธี​กรรายการ คุณธงชัย​ ประสงค์​สันติ​ และ คุณแชมป์​ ศรัณภัสร์ ตั้งไพศาลธนกุล​ เป็นตัวแทนรับมอบ​ ซึ่งทุนการศึกษา​ดังกล่าว​เป็น​ทุน​ต่อเนื่อง​จน​จบ​ปริญญาตรี​ ไม่​มี​ภาระ​ผูกพัน​ที่ต้องใช้คืน

เพราะการให้โอกาสทางการศึกษา คือ “การพัฒนาคน”

#มูลนิธิ​เอส​ซี​จี
#​เชื่อ​มั่น​ใน​คุณค่า​ของ​คน

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบถุงน้ำใจ ห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบโควิด -19

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ร่วมมอบถุงน้ำใจ ซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็นสำหรับการบริโภคอุปโภค พร้อมด้วยสเปรย์แอลกอฮอล์ และปรอทวัดอุณหภูมิร่างกาย จำนวน 100 ชุด ให้กับคุณศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อาทิ พี่น้องที่ตกงาน ขาดรายได้ และผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนต่างๆ

มูลนิธิเอสซีจีมอบชุด PPE 700 ชุด จากโครงการ “สะพานบุญ สะพานใจ สู้ภัยโควิด-19” ให้ศูนย์ห่วงใยคนสาคร

ชุด PPE จำนวน 700 ชุด จากโครงการ “สะพานบุญ สะพานใจ สู้ภัยโควิด-19” โดยมูลนิธิเอสซีจี ได้ส่งถึงมือแพทย์และเจ้าหน้าที่ในศูนย์ห่วงใยคนสาครแล้ว

โดยโครงการพิเศษครั้งนี้ มูลนิธิเอสซีจีได้เปิดโอกาสให้เพื่อนพนักงาน และพี่ๆ ชมรมช้างปูน (กลุ่มพี่ๆ อดีตผู้บริหารของเอสซีจี) ร่วมกันบริจาคเงิน ซึ่งนอกจากได้ส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูป (Modular Bathroom) จำนวน 4 ห้อง ให้ศูนย์ห่วงใยคนสาครแล้ว  ยังได้มอบชุด PPE อีก 700 ชุดในครั้งนี้ด้วย

เราจะร่วมผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

มูลนิธิเอสซีจี เดินหน้าช่วยเหลือนักรบเสื้อขาว มอบห้องน้ำสำเร็จรูป ผ่านสภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อโรงพยาบาลสนาม จ.สมุทรสาคร จำนวน 5 ห้อง

มูลนิธิเอสซีจี โดยคุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจีพร้อมด้วย คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ร่วมส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูปสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 5 ห้อง มูลค่า 400,000 บาท

โดยห้องน้ำดังกล่าวเน้นการผลิตแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงานเพื่อควบคุมคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาติดตั้งหน้างานเพียง 1 วัน ออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ติดตั้งแยกพื้นที่ใช้งานสำหรับบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยอ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์ และฝักบัว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดีโดยมี คุณสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และคุณวีระชัย​ คุณาวิชยานนท์​ รองประธาน​ฯ เป็นผู้แทนรับมอบ

“สะพานบุญ สะพานใจ” ห่วงใยหมอและผู้ป่วยโควิด-19 มอบแล้ว ห้องน้ำสำเร็จรูป 4 ห้อง เพื่อศูนย์ห่วงใยคนสาคร

เพื่อนพนักงานเอสซีจีและสมาชิกชมรมช้างปูน ที่ร่วมโครงการ ”สะพานบุญ สะพานใจ” สู้ภัยโควิด โดยมูลนิธิเอสซีจี ร่วมเป็นตัวแทนส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูป (Modular Bathroom) จำนวน 4 ห้อง ให้กับศูนย์ห่วงใยคนสาคร ที่ 9 จ.สมุทรสาคร พร้อมมอบชุด PPE รวมมูลค่าทั้งสิ้น 426,067 บาท โดยมีคุณสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นผู้แทนรับมอบผ่านระบบวิดีโอทางไกล (Video Conference)

มูลนิธิเอสซีจีเปิดโอกาสให้เพื่อนพนักงาน และสมาชิกชมรมช้างปูน ได้มีส่วนร่วมบริจาคผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “สะพานบุญ สะพานใจ” เพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยโควิด-19 จำนวนกว่า 400 คน ได้มีห้องน้ำใช้อย่างถูกสุขลักษณะ ซึ่งนวัตกรรมห้องน้ำสำเร็จรูป เน้นการผลิตแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงานเพื่อควบคุมคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาติดตั้งหน้างานเพียง 1 วัน ออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ติดตั้งแยกพื้นที่ใช้งานสำหรับบุคลากรการแพทย์โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยอ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์ และฝักบัว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

มูลนิธิเอสซีจี มอบชุด PPE ให้โรงพยาบาลนาดี จ.สมุทรสาคร

มูลนิธิเอสซีจี ได้จัดส่งชุด PPE จำนวน 200 ชุด เพื่อมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ ที่โรงพยาบาลนาดี จ.สมุทรสาคร  ซึ่งยังคงต้องรับมือกับการระบาดของโรคโควิด -19 อย่างต่อเนื่อง

พวกเราขอร่วมเป็นอีก 1 กำลังใจ ให้นักรบชุดขาวทุกท่าน เพื่อเราจะต้องผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

มูลนิธิเอสซีจี ห่วงใยทีมนักรบชุดขาว ศูนย์ห่วงใยคนสาคร มอบนวัตกรรมห้องน้ำสำเร็จรูป ลดเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19

มูลนิธิเอสซีจี เดินหน้าส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูป (Modular Bathroom) ให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ ที่ศูนย์ห่วงใยคนสาคร 8 ส่วนเพิ่มเติมวัฒนาแฟคตอรี่ 2 ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร แห่งที่ 2 มูลค่า 640,000 บาท โดยมีนายธีรพัฒน์​ คัชมาตย์​ รองผู้ว่าราช​การจังหวัด​สมุทรสาคร​เป็นผู้รับมอบ

ห้องน้ำดังกล่าวเน้นการผลิตแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงานเพื่อควบคุมคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาติดตั้งหน้างานเพียง 1 วัน ออกแบบให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ติดตั้งแยกพื้นที่ใช้งานสำหรับบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะ ประกอบไปด้วยอ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์ และฝักบัว มีทั้งหมดมีจำนวน 8 ห้อง จัดวางแบ่งเป็น 2 ยูนิต ยูนิตละ 4 ห้อง แยกชายหญิง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

ไม่ทิ้งกัน

ช่วยกันแชร์คลิป ไม่ทิ้งกัน นะคะ

ร่วมส่งกำลังใจและคำขอบคุณให้ อสม. บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครทั้งแนวหน้าและแนวร่วม ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท เสียสละ ทำงานเสี่ยงแทนพวกเราทุกคน และขณะนี้ยังคงเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ

ร่วมแรง ร่วมใจ อดทน แล้วเราทุกคนจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน…อีกครั้ง

มูลนิธิเอสซีจีขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจนะคะ

#ไม่ทิ้งกัน #ช่วยกันแคร์ดูแลกัน #มูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจี ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้อย่างต่อเนื่อง

มูลนิธิเอสซีจี ได้มอบถุงยังชีพซึ่งบรรจุสิ่งของจำเป็นอีก 400 ชุด ส่งถึงมือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยใน จ.ยะลา เรียบร้อยแล้ว ในพื้นที่ชุมชนท่าสาบ หน้าถ้ำยะลา และชุมชุนลิมุด  โดยความร่วมมือของสำนักงานภาคใต้ เอสซีจี ผู้แทนจำหน่ายยะลาย่งฮวด  และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลยะลา ที่มาตั้งจุดคัดกรอง ตามมาตรการป้องกันโควิด-19  เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องทุกคน

มูลนิธิเอสซีจี มอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ห้องความดันอากาศบวก Positive Pressure Roomให้โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก

มูลนิธิเอสซีจีส่งพลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง มอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ได้แก่ห้องความดันอากาศบวก Positive Pressure Room เพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากการติดเชื้อขณะทำการคัดกรองและตรวจวินิจฉัย ให้โรงพยาบาลแม่สอด จังหวัดตาก จำนวน 2 ตู้ มูลค่า 200,000 บาท

มอบถุงยังชีพเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบอุทกภัย จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

มูลนิธิเอสซีจี มอบถุงยังชีพซึ่งบรรจุสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 400 ชุด ไปยังศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.ตบ.)​ เพื่อเตรียมส่งมอบให้ผู้ประสบเหตุอุทกภัย ใน จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ต่อไป

มูลนิธิเอสซีจี ห่วงใยพี่น้องที่ติดเชื้อ Covid-19 มอบนวัตกรรมห้องน้ำสำเร็จรูปพร้อมใช้งานแห่งแรก ที่ศูนย์ห่วงใยคนสาคร มูลค่า 2 ล้านบาท

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบห้องน้ำสำเร็จรูป (Bathroom Mobile Unit) ใช้เวลาติดตั้งหน้างานเพียง 3 วัน มูลค่า  2,000,000 บาท ให้ศูนย์ห่วงใยคนสาคร ตำบลนาดี อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เป็นแห่งแรก โดยห้องน้ำดังกล่าวออกแบบและผลิตโดยบริษัทสยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จำกัด ซึ่งเน้นการใช้งานได้อย่างปลอดภัย ผลิตแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงานเพื่อควบคุมคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น

ห้องน้ำสำเร็จรูปที่ส่งมอบให้นั้น มีจำนวน 15 ห้อง จัดวางแบ่งเป็น 3 ยูนิต ยูนิตละ 5 ห้อง แยกชายหญิงและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ บริษัทสยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จำกัด ยังได้ร่วมมอบอีกจำนวน 5 ห้อง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและบรรเทาความเดือนร้อนในระยะเร่งด่วนให้ชาวไทยและชาวเมียนมาที่ติดเชื้อโควิด –19 และต้องพักฟื้นและกักตัวกว่า 250 คน

มูลนิธิเอสซีจีห่วงใยพี่น้องชาวไทยและเมียนมา ส่งคลิป “ไม่ยอมแพ้” ช่วยกันดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ไปด้วยกันอีกครั้ง

คลิปนี้มี 2 ภาษา ทั้งไทยและเมียนมา เป็นการสาธิตวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ เช่น การใส่หน้ากาก ล้างมือ และรักษาระยะห่าง โดยได้รับความร่วมมือจากพี่น้อง อสต.(อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว) และ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน)  มาสาธิตให้ดูด้วย เพื่อส่งความห่วงใยไปให้ถึงทุกคน

สามารถรับชมและช่วยกันแชร์คลิปวิดีโอ “ไม่ยอมแพ้” ได้ตั้งแต่วันนี้ ผ่านทาง Youtube: scgfoundation  หรือ Facebook page : มูลนิธิเอสซีจี

#ไม่ยอมแพ้ 
#ช่วยกันแคร์ดูแลกัน 
#มูลนิธิเอสซีจี

SCG ဖောင်ဒေးရှင်းမှ ထိုင်းနှင့်မြန်မာပြည်သူတို ့အား စိုးရိမ်ပူပန်မှုကြီးစွာဖြင့်
မိမိကိုယ်ကိုယ် ကိုဗစ် -19 ရောဂါကူးစက်မှုအန္တရာယ်မှ နောက်တစ်ကြိမ်ကာကွယ်နိုင်ရန် “လက်မလျှော့ဘူး” ပညာ ပေး ဗီဒီယို ကို ပေးပို ့လိုက်ပါတယ်။
ဤဗီဒီယိုကို ထိုင်းနှင့်မြန်မာနှစ်ဘာသာ ဖြင့်တင်ဆက်ထားကာ ကိုဗစ်-၁၉ ရောဂါကူးစက်မှုမှ ကာကွယ်ရန် နှာခေါင်းစည်းတပ်ဆင်ခြင်း၊ လက်ဆေးခြင်းနှင့် ခပ်ခွာခွာနေထိုင်ခြင်းများ ကဲ့သို ့လွယ်ကူသောနည်းလမ်းများဖြင့်
မိမိကိုယ်ကို ဂရုစိုက် ပုံ များ ကို သရုပ်ဖော် ထား သည်။
အားလုံးအတွက် စိုးရိမ်ပူပန် ဂရုစိုက်မှုများကို မျှဝေပေးပို ့နိုင်ရန် ရည်ရွယ်၍ နိုင်ငံခြားသားကျန်းမာရေးစေတနာ့ဝန်ထမ်းမောင်နှမများနှင့် ရပ်ကွက်ကျန်းမာရေးစေတနာ့ဝန်ထမ်းများ၏

လက်တွဲပူပေါင်းမှုှဖြင့် သရုပ်ဖော်တင်ဆက်ထားသည်။

“လက်မလျှော့ဘူး”ဗီဒီယိုကို
ယနေ့မှစ၍
YouTube : scgfoundation သို့မဟုတ်
Facebook page : มูลนิธิเอสซีจี (SCG ဖောင်ဒေးရှင်း)
တို ့မှတစ်ဆင့် ဝင်ရောက်ကြည့်ရှုနိုင်ကာ ထပ်ဆင့်ဝိုင်ဝန်းမျှဝေနိုင်ပါသည်။

#လက်မလျှော့ဘူး#တစ်ယာက်ကိုတစ်ယာက်ဂရုစိုက်ကြမယ်# SCGဖောင်ဒေးရှင်

มูลนิธิเอสซีจี เป็นกำลังใจให้แพทย์อย่างต่อเนื่อง มอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แก่ รพ. พระมงกุฎเกล้า

มูลนิธิเอสซีจี เดินหน้ามอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แก่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่มูลค่า 250,000 บาทด้วยความห่วงใย และขอส่งกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์ให้ผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

มูลนิธิเอสซีจี ห่วงใยพี่น้องชาวไทยและชาวเมียนมา มอบนวัตกรรมและเงินช่วยเหลือ มูลค่า 2.2 ล้านบาท ให้จังหวัดสมุทรสาคร

มูลนิธิเอสซีจี เดินหน้ามอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แก่โรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ ได้แก่  1) ห้องแยกเชื้อความดันบวกแบบเคลื่อนที่ 2) แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ 3)แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบขนาดเล็กสำหรับเข้าเครื่อง CT Scan 4) ชุด PPE 200 ชุด  5) หน้ากากอนามัย N95 500 ชิ้น 6) เครื่องวัดอุณหภูมิ (Thermoscan) 500 ชุด 7) ถุงมือทางการแพทย์ 3,000 คู่ 8) หน้ากากผ้าสำหรับเด็ก 2,000 ชิ้น

นอกจากนี้  มูลนิธิฯ ยังได้สนับสนุนงบประมาณ 500,000 บาทผ่านจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วนรวมเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 2,200,000 บาท ด้วยความห่วงใย และขอส่งกำลังใจไปยังบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบทั้งพี่น้องชาวไทยและ   เมียนมา ให้ผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

มูลนิธิเอสซีจี เร่งติดเกราะป้องกัน Covid-19 ระลอกใหม่ให้เหล่านักรบเสื้อขาว รพ.ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยนวัตกรรมและอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบนวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 แบบเคลื่อนที่แก่โรงพยาบาลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ได้แก่ ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่ (Negative Pressure Isolation Room) สำหรับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู หรือแม้แต่เป็นห้องพักผู้ป่วย โดยสามารถรักษาผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยรวมทั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นๆ จำนวน 1 ห้อง นอกจากนี้ยังได้มอบอุปกรณ์ป้องกันโควิดต่างๆ เช่น หน้ากาก KN95 จำนวน 500 ชุด และ ชุด PPE จำนวน 200 ชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 360,000 บาท เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

ศูนย์ความเป็นเลิศทางอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขางานก่อสร้าง โครงการ Living Solution Expert เปิดรับสมัครน้องๆ เข้าเรียนในปีการศึกษา 2564

โครงการนี้เป็นความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนที่ช่วยยกระดับและพัฒนาฝีมือของน้องๆ อาชีวศึกษา เพิ่มโอกาสการหางานสร้างรายได้ และตอบโจทย์ตลาดแรงงานในปัจจุบัน ซึ่งนักศึกษาจะได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจี​ ตลอดหลักสูตรด้วย

รับสมัครผู้สำเร็จการศึกษา ปวช. สาขาก่อสร้างหรือสาขาโยธา ตั้งแต่วันนี้ – 15 ก.พ. 2564

ผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3fVKZMl

มูลนิธิเอสซีจี ส่งความห่วงใยให้พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้อย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้สถานการณ์น้ำท่วมจะเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่น้ำเริ่มลด แต่ที่บ้านดอนมะลิ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ยังคงมีน้ำยังท่วมขังในระดับสูง พี่น้องไทดำ จากเครือข่ายต้นกล้าชุมชน ได้ช่วยแจ้งข่าวสารความเดือดร้อนนี้ และได้ร่วมกับมูลนิธิเอสซีจี นำถุงยังชีพไปมอบให้กับชาวบ้านที่ต้องอพยพมาอยู่ ณ ศูนย์พักพิง รวมทั้งผู้ที่ติดอยู่ในบ้านพักอาศัยที่การช่วยเหลือยังเข้าไปไม่ถึง  เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้พี่น้องผู้ประสบภัยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปในเร็ววัน

มูลนิธิเอสซีจี ส่งกำลังใจสู่พี่น้องชาวใต้ สู้ภัยน้ำท่วม

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับสำนักงานภาคใต้ และผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 400 ชุด แก่ผู้ประสบอุทกภัย ใน อ.เมือง อ.สิชล และ​ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ด้วยความห่วงใย เป็นกำลังใจไปสู่พี่น้องให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน

นอกจากนี้มูลนิธิเอสซีจี ยังได้ร่วมสนับสนุนโรงทานวัดวังตะวันตก ต.คลัง อ.เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งชาวบ้านและพระลูกวัดต่างร่วมแรงร่วมใจมาประกอบอาหาร และนำไปแจกจ่ายแก่พี่น้องผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งแม้ว่าขณะนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังสูง หลายครอบครัวยังติดอยู่ในบ้านเรือน ขาดแคลนสิ่งของอุปโภคบริโภค ซึ่งคาดว่าโรงทานแห่งนี้จะตั้งไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์หรือจนกว่าระดับน้ำจะเข้าสู่ภาวะปกติ

(ขอขอบคุณภาพจากวัดวังตะวันตก)​

นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี ร่วมกิจกรรม “The 1st Youth Symposium on SDGs” เวทีหารือของเยาวชนเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

“น้องฟ้าใส -​ อนันตญา ชินวงศ์” และ​ “น้องเจมส์​ -​ โยธิน บุญยงค์” นักเรียนทุน Sharing the dream โดยมูลนิธิเอสซีจี เข้าร่วมกิจกรรม “The 1st Youth Symposium on SDGs” เวทีหารือของเยาวชนเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นการรวมพลังของเยาวชน เพื่อกำหนดอนาคตของโลกที่ต้องการ​ จัดโดย สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ​ M Tower สำนักงานใหญ่บางจาก 

นับเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ ที่นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี​ ได้มีส่วนร่วมด้วย​

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี เยี่ยมชม​ “คูโบต้าฟาร์ม” เรียนรู้​การเกษตรสมัยใหม่

“คุณสุวิมล จิวาลักษณ์” กรรมการ​และ​ผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอสซี​จี​ นำทีมพาน้องๆ ต้นกล้า​ชุมชน​ ที่ขับเคลื่อน​งานด้านการเกษตร​ ศึกษา​ดูงานเพาะปลูกพืชด้วยวิธีการเกษตรสมัยใหม่ ที่นำองค์ความรู้ นวัตกรรมเกษตรครบวงจรมาประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งน้อมนำแนว
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นต้นแบบ​ ที่​คูโบต้า​ฟาร์ม​ จ.ชลบุรี​ เพื่อนำไปต่อยอดองค์​ความรู้​และผสมผสาน​การทำการเกษตร​อย่างยั่งยืนต่อไป

#มูลนิธิเอสซีจี
#เชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจี สานฝันปั้นเด็กศิลป์ สร้างยุวศิลปิน ผ่านโครงการ Young Thai Artist Award รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี เป็นประธานในงานประกาศผล มอบรางวัล และเปิดนิทรรศการ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2563 (Young Thai Artist Award 2019) รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนเยาวชนไทยที่มีความสามารถด้านศิลปะได้มีพื้นที่ในการแสดงออกทางความคิดอย่างสร้างสรรค์ผ่านงานศิลป์ 6 สาขาได้แก่ สาขาศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี โดยมี  คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมแสดงความยินดีกับน้องๆ ผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมทั้ง 6 สาขา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

มูลนิธิเอสซีจี จับมือภาครัฐ-เอกชน เดินหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขาก่อสร้าง โครงการ Living Solution Expert

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่สนับสนุนการเรียนอาชีวศึกษามาอย่างต่อเนื่อง มอบทุนการศึกษารวมกว่า 1.5 ล้านบาท แก่นักเรียนระดับประกาศนียบัตรชั้นสูง (ปวส.) ที่เข้าร่วมศูนย์ความเป็นเลิศทางอาชีวศึกษา (Excellent Center) สาขาช่างก่อสร้าง โครงการ Living Solution Expert ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา  การประปานครหลวง บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด  มูลนิธิเอสซีจี  บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด เพื่อสร้างและส่งเสริมนักเรียนอาชีวะให้เป็นบุคคลากรมืออาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ  และทำให้ผู้เรียน มีทักษะใหม่ที่ตรงตามความต้องการของตลาด สามารถทำงานได้จริง สร้างรายได้และมีอาชีพที่มั่นคงในอนาคตอีกด้วย

โครงการดังกล่าว เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบทวิภาคี โดยนำองค์ความรู้ที่ทันสมัยจากแต่ละองค์กรที่มีเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างมาพัฒนาแผนการเรียน  จัดการฝึกประสบการณ์ทำงานในสถานที่จริง รวมถึงสนับสนุนการมีอาชีพ โดยมี 2 สาขา ได้แก่ 1) สาขางานติดตั้ง และซ่อมบำรุง ประปา และสุขภัณฑ์  2) สาขางานติดตั้ง ซ่อมบำรุง ประตู หน้าต่าง ซึ่งจัดการเรียนการสอนที่วิทยาลัยเทคนิคดุสิต ในปีการศึกษา 2564 ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ ฯ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02 2410099, 081 9063845

มูลนิธิเอสซีจี ชวนร่วมงานประกาศผล มอบรางวัล และเปิดนิทรรศการ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2563 (Young Thai Artist Award 2020) ทาง Online ผ่านระบบ Live Facebook และ Zoom webinar

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นพัฒนาคน และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้ดำเนินโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2563 (Young Thai Artist Award 2020) รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า​ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เวทีการประกวดศิลปะระดับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ เพื่อสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นพากเพียรในการสร้างสรรค์ผลงานศิลป์ได้มีเวทีในการแสดงออกถึงความสามารถเชิงศิลปะของตนอย่างกว้างขวาง โดยมีการประกวดถึง 6 สาขา ได้แก่ สาขาศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี โดยเวทีนี้ได้รับการยอมรับ ว่ามีมาตรฐานการคัดเลือกผลงานที่เข้มงวด คณะกรรมการคัดเลือกและคณะกรรมการตัดสินผลงานประกอบด้วยศิลปินแห่งชาติ ศิลปินชั้นเยี่ยม และผู้ทรงคุณวุฒิของแต่ละสาขา เพื่อสนับสนุนเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นพากเพียรในการแสดงออกผ่านผลงานศิลปะอย่างสร้างสรรค์จรรโลงสังคม

ในปี 2563 นี้ มูลนิธิเอสซีจีขอเรียนเชิญท่านร่วมงานประกาศผล มอบรางวัล และเปิดนิทรรศการ ในวันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2563 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป โดยรับชมทาง Online ผ่านระบบ Live เพื่อลดความเสี่ยงในการรวมตัวของคนจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการปรับตัวในการประกวดศิลปะแบบชีวิตวิถีใหม่ โดยสามารถรับชมได้ที่ เฟสบุ๊ค เพจ Young Thai Artist Award และเพจ มูลนิธิเอสซีจี  หรือทาง Zoom webinar ที่ https://us02web.zoom.us/j/87272904428

มูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล แก่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตอบโจทย์สาขาวิชาชีพที่เป็นความต้องการของสังคมไทยในปัจจุบัน

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี เป็นตัวแทนมอบทุนการศึกษาหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล แก่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 19 ทุน มูลค่า 475,000 บาท โดยมี รศ.นพ. รัฐพล ตวงทอง รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นตัวแทนรับมอบ

ทุนการศึกษานี้ เป็นหลักสูตรระยะสั้น ไม่มีภาระผูกพัน ซึ่งนักศึกษาที่จบหลักสูตร สามารถประกอบอาชีพได้ทันที เนื่องจากเป็นสาขาที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมไทยในปัจจุบัน 

จากการพูดคุยกับน้องๆ นักศึกษาที่ได้รับทุน หลายคนมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการประกอบอาชีพผู้ช่วยพยาบาล ที่จะได้ช่วยเหลือผู้อื่น และสามารถประกอบอาชีพที่มั่นคง มีทักษะที่สามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย

เชิญชมนิทรรศการผลงานศิลปะ ​โครงการ​รางวัล​ยุว​ศิลปิน​ไทย​ประจำปี 2563 (Young Thai Artist Award​ 2020)

มูลนิธิ​เอส​ซี​จีขอเชิญ​สัมผัส​พลังศิลป์ของยุวศิลปิน​เลือดใหม่ ในนิทรรศการ​โครงการ​รางวัล​ยุว​ศิลปิน​ไทย​ประจำปี 2563
รางวัล​ถ้วยพระ​ราชทานสมเด็จ​พระ​กนิษฐา​ธิราช​เจ้า​ กรมสมเด็จ​พระ​เท​พรัตนราชสุดา​ ฯ ​สยาม​บรม​ราช​กุมารี

พบกับ 36 ผลงานสุดสร้างสรรค์​ของคนรุ่นใหม่​ที่​โชว์ไอเดียและแรงบันดาลใจ​ผ่านผลงานศิลปะทั้ง 6 สาขา ในวันที่ 10 – 29 พฤศจิกายน ​2563 ณ โถงชั้น L หอศิลป​วัฒนธรรม​แห่ง​กรุงเทพ​มหานคร (BACC)

มาร่วมกันส่องไฟ สานฝันดื่มด่ำงาน​ศิลป์ ที่คนติสท์​ไม่​ควรพลาด

#มูลนิธิเอสซีจี #โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย #YoungThaiArtistAward

เตรียม​ความพร้อม ฝึกซ้อม​ฝีมือ ปรุงทุกจานด้วยหัวใจไปคว้าชัยเวทีโลก

สุวิมล จิวาลักษณ์​ กรรมการและผู้จัดการ​มูลนิธิ​เอส​ซี​จี และ ประเสริฐ เด่นขจรเกียรติ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมมาตรฐานฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้เดินทางไปให้กำลังใจนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจีคนเก่งที่กำลังเก็บตัว​ฝึกซ้อม​ในฐานะตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 13 หรือ WorldSkills Singapore ASEAN 2020 ในสาขาประกอบอาหาร (Cooking) ที่วิทยาลัยดุสิตธานี เขตประเวศ กรุงเทพฯ

เราได้เห็นความทุ่มเท​และ​มุ่งมั่นในการฝึกซ้อมอย่างหนักของ​น้องๆ ทุกคน

ในนามของมูลนิธิเอสซีจีและคนไทย​ ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ มีแรง มีพลังที่เข้มแข็ง

ตลอดการฝึกซ้อม​ เพราะเราเชื่อว่าเยาวชน​ไทย​เก่งไม่แพ้​ชาติใดในโลก

#มูลนิธิ​เอส​ซี​จี
#เชื่อมั่น​ใน​คุณค่า​ของ​คน​

มูลนิธิเอสซีจีและเอสซีจี สานแรง สานใจ ช่วยผู้ประสบภัยโคราช และปราจีนบุรี

มูลนิธิเอสซีจี มอบถุงยังชีพ 700 ชุด พร้อมสุขากระดาษ 300 ชุด ลงพื้นที่ อ.ปักธงชัย จ.นคราชสีมา และ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี โดยมีเพื่อนพนักงาน จาก บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด(สำนักงานภาคอีสาน)  CPAC ภาคอีสาน บริษัทไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) โรงงานปราจีนบุรี และผู้แทนจำหน่ายคูโบต้าอนันตภัณฑ์ ร่วมกันบรรจุสิ่งของที่จำเป็น สำหรับถุงยังชีพ เช่น อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค พร้อมลงพื้นที่นำไปมอบให้ถึงมือพี่น้องผู้ปะสบภัย เพื่อเป็นกำลังใจและบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้ โดยผู้ประสบภัยที่ได้รับความช่วยเหลือต่างขอบคุณในน้ำใจของเพื่อนพนักงาน ที่ไม่ทอดทิ้งกัน

กระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี และ แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา

กระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี และ แอสตร้าเซนเนก้า ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 เพื่อให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างเท่าเทียมและทันเวลา

ทั้งนี้ มูลนิธิเอสซีจี ยังร่วมสมทบทุนในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท คาดวัคซีนชุดแรกจะพร้อมใช้ในประเทศไทยภายในกลางปี 2564

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://scgnewschannel.com/th/scg-news

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ช่อง One 31 ให้การสนับสนุนงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชน ในรายการ “เก่งจริงชิงค่าเทอม”

“เก่งจริงชิงค่าเทอม” รายการเกมโชว์ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ที่เรียนดี เกรดเฉลี่ยสะสม 3.5 ขึ้นไป แต่ไม่มีทุนการศึกษา สมัครเข้ามาร่วมแข่งขันในรายการเพื่อแสดงออกทางความสามารถด้านวิชาการด้วยการตอบปัญหา และบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ชมและเยาวชนทั่วประเทศ

เชิญร่วมชมและเป็นกำลังใจให้น้องๆ เหล่านี้กันได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00 น. ทาง ช่องวัน 31

มูลนิธิเอสซีจี เดินหน้าเตรียมความพร้อม​ เพิ่มศักยภาพให้ให้เยาวชนไทยสู่การแข่งขันระดับโลก พร้อมสร้างขวัญกำลังใจให้อย่างเต็มที่​

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล สานต่อเรื่องการเก็บตัวฝึกซ้อมนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจีอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเข้าแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 46 หรือ “WorldSkills Shanghai 2021” สาขา Health and Social Care (การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย) โอกาสนี้ได้ระดมความคิด หารือเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อม เพื่อให้น้องๆ ได้รับสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะฝีมือให้ได้มากที่สุด ณ อาคารโรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี ถนนพระราม 6 กทม. โดยน้องๆ อยู่ระหว่างเก็บตัวฝึกซ้อมอย่างเข้มข้นกับผู้เชี่ยวชาญ และจะคัดเลือกน้อง 1 ใน 3 คนนี้  เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันต่อไป

เพราะพวกเราอยากเห็นเยาวชน​ไทย​ สายวิชาชีพพยาบาล ได้มีโอกาสไปแสดงทักษะฝีมือความสามารถ​ในเวทีโลกต่อไป

มูลนิธิเอสซีจีมอบรางวัลประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID)

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ให้เกียรติเป็นประธานในการมอบรางวัลและประกาศนียบัตรแก่น้องๆ ทั้งในระดับประถมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ในโครงการประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) โดยบรรยากาศงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็นกันเอง มีพี่ๆ ผู้บริหารจากมูลนิธิเอสซีจีนำโดยพี่รุ่งโรจน์ รังสิโยภาสประธานกรรมการมูลนิธิฯ รวมถึงเหล่าคุณหมอจากมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ขึ้นมอบรางวัลให้แก่น้องๆ  ทั้งนี้รางวัลที่น้องๆ ได้รับ ได้แก่ รางวัลยอดเยี่ยม รางวัลดีเด่น รางวัลชมเชย รางวัลขวัญใจมหาชน และรางวัลขวัญใจคุณหมอ

โครงการประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิเอสซีจีและมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดขึ้นเพื่อให้เด็กนักเรียนได้เห็นความสำคัญของการดูแลและป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโควิด-19  รวมไปถึงการปลูกฝังเรื่องสุขลักษณะในชีวิตประจำวัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางกายภาพ การล้างมือ เป็นต้น โดยการประกวดฯ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีที่ 1 – 3  และ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ปีที่ 4 – 6

บรรยากาศการตัดสิน การประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด (Thai Kids Fight COVID)”

รายนามคณะกรรมการรอบตัดสิน

ประธานกรรมการตัดสิน
ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร ที่ปรึกษามูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์

คณะกรรมการรอบตัดสิน

1. ดร.ครูสังคม ทองมี  ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร

2. รองศาสตราจารย์ทินกร กาษรสุวรรณ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อภิชาติ พลประเสริฐ หัวหน้าภาควิชาศิลปะ ดนตรีและนาฏศิลป์ศึกษา คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

4. พล.อ.ต.นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ  เลขาธิการ มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์

5. อาจารย์จิตรา ศาสนัส  นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.

รายนามคณะกรรมการรอบคัดเลือก

1. ครูสังคม ทองมี  ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร

2. อาจารย์ฑีฆาวุฒิ บุญวิจิตร รองคณบดีฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

3. คุณลำพู กันเสนาะ ศิลปินอิสระ สาขาจิตรกรรม

4. พล.อ.ต.นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ  เลขาธิการ มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์

5. คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี

ประกาศผล​ การตัดสิน การประกวดวาดภาพระบายสี เกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่โรงเรียนให้ห่างไกลจากโควิด-19 “เด็กไทยสู้ภัยโควิด”

ผลการตัดสิน การประกวดวาดภาพระบายสี เกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่โรงเรียนให้ห่างไกลจากโควิด-19 “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น และ ประถมศึกษาตอนปลาย

ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น

ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย

รายนามกรรมการโครงการประกวดวาดภาพระบายสี

มอบกำลังใจให้นักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี เก็บตัวฝึกซ้อมการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน สาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วย​ คุณอนุวัฒน์ จงยินดี ที่ปรึกษาคณะกรรมการมูลนิธิเอสซีจี และ คุณวรรณี โกมลกวิน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้เดินทางไปเยี่ยม​ชมการเก็บตัวฝึกซ้อมและให้กำลังใจ​กับนักเรียนทุนมูลนิธิเอสซีจี ที่จะลุ้นได้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 13 หรือ WorldSkills ASEAN Singapore 2020 ในสาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม (Restaurant Service) ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี

น้องๆ​ ทุกคนมีความตั้งใจอย่างเต็มที่และฝึกซ้อมอย่างหนัก​ และจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อ​สร้างชื่อเสียง​ให้กับ​ประ​เทศ

“มูลนิธิเอสซีจี” ส่งหนังสั้น “จดหมายจากปลายเท้า” ถึงคนไทย ปลุกคุณค่าและพลังพิเศษในตัวทุกคน

มูลนิธิเอสซีจีส่งต่อความเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองผ่านหนังสั้น “จดหมายจากปลายเท้า”นำเสนอเรื่องราวชีวิตจริงของ 4 บุคคลที่ต้องเผชิญวิกฤตโควิด-19 สะท้อนวิธีคิดวิธีปรับตัวและการรับมือในช่วงวิกฤตเพื่อเป็นแรงบันดาลใจปลุกพลังและความหวังให้คนไทยทุกคนก้าวข้ามวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น มูลนิธิเอสซีจีได้ดำเนินการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วนนับแต่เดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เด็กและเยาวชน กลุ่มผู้ยากไร้และผู้ขาดโอกาส ทั้งในด้านของนวัตกรรมทางการแพทย์ ด้านสุขอนามัย ด้านอุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกจำนวนมากที่   ตกงาน ถูกลดเงินเดือน กิจการต้องปิดลง สูญเสียทุกอย่างที่เคยสร้างมา ทำให้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดหายไป หมดหวัง เสียกำลังใจ  บางคนถึงขั้นตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง

“มูลนิธิเอสซีจีในฐานะองค์กรสาธารณกุศลที่ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นในการพัฒนา ‘ คน ’ เราเชื่อมั่นในคุณค่าในความสามารถและศักยภาพของ ‘คน’ จึงได้หยิบยกประเด็นความสามารถในการ “ ปรับตัว ” ซึ่งถือเป็นพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในตัวของทุกคนมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวถ่ายทอดผ่านหนังสั้นเรื่อง“จดหมายจากปลายเท้า”ที่นำเสนอชีวิตจริงของคน 4 คนไม่ว่าจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์เจ้าของบาร์ช่างซ่อมเครื่องซักผ้าและเชฟภัตตาคารเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของคนธรรมดาที่มีแนวคิดไม่ธรรมดาโดยแต่ละคนนั้นสามารถปรับตัวและรับมือกับโควิด-19 ในแบบฉบับของตัวเองที่แตกต่างกันออกไปจนสามารถก้าวข้ามผ่านความยากลำบากในครั้งนี้มูลนิธิฯหวังว่าเรื่องราวชีวิตจริงที่เราหยิบยกขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจนี้จะช่วยส่งต่อความเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเองปลุกพลังปลุกกำลังใจเหมือนที่ในหนังบอกไว้ว่า “ ถ้ายังไม่สูญเสียลมหายใจยังไงคุณก็จะรอด ”

ผู้สนใจสามารถรับชมหนังสั้นเรื่อง “จดหมายจากปลายเท้า” โดยมูลนิธิเอสซีจีได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผ่านทางยูทูปแชนเนล scgfoundation และเฟซบุ๊กแฟนเพจมูลนิธิเอสซีจี

#จดหมายจากปลายเท้า #เชื่อมั่นในคุณค่าของคน #มูลนิธิเอสซีจี

ประกาศผล รอบคัดเลือก การประกวดวาดภาพระบายสี เกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่โรงเรียนให้ห่างไกลจากโควิด-19 “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” และขอเชิญร่วมโหวต รางวัลขวัญใจมหาชน ทาง Facebook มูลนิธิเอสซีจี

ผลการคัดเลือก การประกวดวาดภาพระบายสี เกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่โรงเรียนให้ห่างไกลจากโควิด-19 “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น และ ประถมศึกษาตอนปลาย


ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น
ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย

ท่านสามารถร่วมโหวตภาพผลงานที่ชื่นชอบ​ 
ได้ทาง ​Facebook​ มูลนิธิเอสซีจี​ ระหว่างวันที่​ 6-18​ ก.ย. 63​
เพื่อลุ้นรับรางวัลขวัญใจมหาชน htts://www.facebook.com/SCGFoundation/

มูลนิธิเอสซีจี และซีแพค จับมือ สอศ. ร่วมพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาในโครงการ “อาชีวะฝีมือชน สู่ช่างมืออาชีพ” ตอบโจทย์ความต้องการแรงงานทักษะฝีมือคุณภาพ

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่ส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง และบริษัทผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้าง จำกัด หรือ ซีแพค (CPAC) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)  ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการอาชีวะฝีมือชนสู่ช่างมืออาชีพ” เพื่อเสริมสร้าง ต่อยอด อาชีวะฝีมือชนสาขาวิชาช่างก่อสร้าง และช่างโยธาให้มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทำงานจริงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันและได้มาตรฐานระดับสากล

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ด้วยตระหนักว่าผู้สำเร็จการศึกษาสายอาชีวะ เป็นบุคลากรที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งภาคอุตสาหกรรม และการบริการ มูลนิธิเอสซีจี รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน-ประชาสังคม จึงได้ร่วมมือกันทำงานเชิงรุกในโครงการสานพลังประชารัฐ ยกระดับคุณภาพวิชาชีพอาชีวศึกษา (Competitive Workforce) เพื่อที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาและการสร้างอาชีวศึกษาให้มีความเป็นเลิศ เพิ่มคุณภาพผู้ เรียน นับแต่นั้นเราไม่เคยหยุดสนับสนุนการดำเนินงานของอาชีวะ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพของประเทศ และแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศจะชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ น้อยลง ไม่เว้นแม้แต่ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างขนาดใหญ่ แต่กลับมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะฝีมือ มีความเชี่ยวชาญ มีความเป็นมืออาชีพ ในงานซ่อมแซมต่อเติม งานรับเหมาขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น และด้วยเจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการที่สร้างประโยชน์ให้แก่การศึกษา รวมถึงสร้างบุคลากรมืออาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ มูลนิธิเอสซีจี จึงได้เข้ามาสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัยในงานก่อสร้าง อาทิ เครื่องขัดมันแบบเครื่องยนต์ เครื่องตบดิน กรรไกรตัดเหล็ก เครื่องตั้งระบบเลเซอร์ เกรียงยาว แบบหล่อ CUBE รถเข็นปูน แบบหล่อเหล็กตัวซี เครื่องจี้คอนกรีต เครื่องแต่งผิวหน้าคอนกรีต ตะกร้อตบดิน อุปกรณ์เซฟตี้และอื่นๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน แก่วิทยาลัยนำร่องที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 1,500,000 บาท

คุณปัญญา โสภาศรีพันธ์ ผู้อำนวยการธุรกิจสัมพันธ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง บริษัทผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้าง จำกัดหรือ ซีแพค (CPAC) กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เกิดขึ้นโดยซีแพคได้มีโอกาสเข้าไปสอนเรื่องคอนกรีตเทคโนโลยีให้กับนักศึกษาแผนกโยธาและแผนกก่อสร้าง วิทยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช ในภาคทฤษฎีเป็นประจำทุกปี จากการเข้าไปสอนพบว่านักศึกษากลุ่มหนึ่งต้องการมีรายได้ระหว่างเรียนและอยากมีประสบการณ์จากการทำงานจริง ขณะเดียวกันมีลูกค้าของซีแพคบางส่วนที่มาซื้อคอนกรีตแต่ไม่มีช่างและขอให้ซีแพคช่วยแนะนำช่างให้ด้วย  จึงได้มีแนวคิดที่จะพัฒนานักศึกษาเหล่านี้ให้สามารถทำงานได้จริงและมีความรู้เกี่ยวกับการทำงานคอนกรีตที่ถูกวิธี ซึ่งได้จัดการอบรมและแชร์ประสบการณ์ในการทำงานโดยวิศวกรและช่างในพื้นที่ของ ซีแพค พร้อมทั้งจัดให้มีการลงมือปฎิบัติจริงในสถานที่ทำงานจริงของลูกค้า โดยเจ้าของงานเป็นผู้ออกค่าวัสดุและค่าแรงให้กับนักศึกษาที่ทำงานและได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ในการทำงานจากมูลนิธิเอสซีจี นอกจากนี้นักศึกษายังได้รับความรู้เรื่องต้นทุน งานการตลาด การหาลูกค้า  การสำรวจหน้างาน งานประมาณราคาและการทำบัญชี ฯลฯ เพื่อให้สามารถรับเหมางานเองผ่านชมรมวิชาชีพก่อสร้างของวิทยาลัย  จากการดำเนินโครงการฯ พบว่าได้รับผลตอบรับดี ชมรมฯ สามารถรับงานได้เดือนละ 2-3 งาน ในวันเสาร์-อาทิตย์และช่วงวิทยาลัยปิดเทอม นักศึกษาจะมีประสบการณ์ทำงานจริง และมีรายได้ระหว่างเรียน เฉลี่ย 350 บาท/วัน /คน โดยปัจจุบันมีการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติแก่นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการไปแล้ว ประมาณ 300 คน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีนักศึกษาที่สามารถไปทำงานจริงทั้งรับงานเองโดยตรงและผ่านวิทยาลัยแล้วกว่า 90 คน ซึ่งถือเป็นความภูมิใจและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ

คุณณรงค์ แผ้วพลสง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา   เปิดเผยว่า ความร่วมมือในโครงการอาชีวะฝีมือชน สู่ช่างมืออาชีพ มีระยะเวลา 1 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษาโดยส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทักษะวิชาชีพให้นักเรียน นักศึกษาในสถานศึกษาสังกัด สอศ. ที่เปิดสอนสาขาวิชาช่างก่อสร้าง และช่างโยธา ให้มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์จากการทำงานจริง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันและได้มาตรฐานระดับสากล โดยซีแพค จะจัดการอบรมให้ความรู้งานด้านคอนกรีตเทคโนโลยีทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติในงานก่อสร้าง รวมถึงความรู้ด้านอื่น ๆ ได้แก่ การรับงาน การคิดต้นทุน ความปลอดภัยในการทำงาน การบำรุงรักษาเครื่องมือให้แก่นักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาสังกัดสอศ. ที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมกับมอบหมายงานเพื่อให้เกิดประสบการณ์วิชาชีพจากการทำงานหน้างานจริง ตลอดจนจัดอบรมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างและ Construction Solutionให้กับครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนนักศึกษา ในสาขาช่างก่อสร้างและช่างโยธา สำหรับมูลนิธิเอสซีจี จะสนับสนุนอุปกรณ์ เครื่องมืองานคอนกรีตสำหรับใช้ในการเรียนการสอนให้กับสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมโครงการอาชีวะฝีมือชน สู่ช่างมืออาชีพ จำนวน 11 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ วิทยาลัยเทคนิคลำปาง วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก วิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา วิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยเทคนิคสระบุรี วิทยาลัยเทคนิคดุสิต วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต และวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่

“ทั้งนี้ สอศ.เป็นหน่วยงานหลักในการจัดการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศด้านวิชาชีพ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้เกิดช่างก่อสร้าง และช่างโยธาที่มีความรู้ ประสบการณ์ และทักษะวิชาชีพตามมาตรฐานสากล ตอบโจทย์ความต้องการแรงงานช่างมืออาชีพ” เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวทิ้งท้าย

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกความร่วมมือ มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ มอบหน้ากากผ้าให้น้อง 100,000 ชิ้น พร้อมชวนเด็กประถมฯ ประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด”

ดาวน์โหลดใบสมัครประกวดวาดภาพระบายสีเด็กไทยสู้ภัยโควิด

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนา ‘คน’ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาชาติในอนาคต ร่วมกับ มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์มอบหน้ากากผ้าจำนวน 100,000 ชิ้น มูลค่า 3,500,000 บาท เพื่อมอบให้กับนักเรียนในถิ่นทุรกันดารและนักเรียนที่ขาดแคลนหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันตนเองจากการระบาดของโควิด-19 ภายใต้โครงการ “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) พร้อมเปิดตัวโครงการประกวดวาดภาพระบายสีเด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) ระดับประถมศึกษา เพื่อให้เด็กไทยได้ตระหนักถึงการดูแลและป้องกันตนเองจากการระบาดของโรค COVID-19  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่รวมกันที่โรงเรียน

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษมวัฒนชัย องคมนตรีในฐานะประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ กล่าวว่า “โครงการเด็กไทยสู้ภัยโควิด (Thai Kids Fight COVID) เป็นโครงการที่มูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ และคณะนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.) รุ่นที่ 1-8 จัดขึ้น ด้วยความห่วงใยเด็กๆ ที่ขาดแคลน  โดยเฉพาะนักเรียนระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง มีความเสี่ยงที่จะแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จึงได้ริเริ่มโครงการฯ จัดหาหน้ากากผ้าที่มีคุณภาพให้กับเด็กนักเรียนระดับประถมต้น ป.1 – ป.4 ในท้องถิ่นทุรกันดาร  โดยมีโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 21 แห่ง และโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 11 แห่ง ร่วมเป็นเครือข่าย เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้มีโอกาสดูแลและให้ความรู้ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการใส่หน้ากาก การล้างมือ อย่างถูกวิธี และการรักษาสุขอนามัยที่ดี แก่เด็กนักเรียนและครูอาจารย์ด้วย”

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “มูลนิธิเอสซีจี มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพเด็กและเยาวชนรวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม เล็งเห็นถึงความสำคัญของหน้ากากผ้าที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคของเด็กๆ ในช่วงเปิดเทอม จึงได้มอบหน้ากากผ้า จำนวน 100,000 ชิ้น มูลค่า 3,500,000 บาท ให้กับมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์เพื่อส่งมอบต่อให้กับเด็กๆ ในท้องถิ่นทุรกันดาร

ซึ่งหน้ากากดังกล่าว จะมีขนาดที่เหมาะสมกับใบหน้า ใช้ผ้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย รวมถึงมีสีสันสวยงามเพิ่มความน่าใช้ และน้องๆ ยังสามารถเขียนชื่อที่หน้ากากได้เพื่อป้องกันการสูญหายหรือสลับกัน โดยโครงการจะมอบให้คนละ 2 ชิ้น”

นอกจากนี้มูลนิธิเอสซีจีและมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ยังได้จัดโครงการประกวดภาพวาดระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) ในหัวข้อการดูแลตัวเองที่โรงเรียน ให้ห่างไกลจากโควิด -19 เพื่อให้เด็กนักเรียนได้เห็นความสำคัญของการป้องกันตนเอง  รวมไปถึงการปลูกฝังเรื่องสุขลักษณะในชีวิตประจำวัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางกายภาพ การล้างมือ เป็นต้น  ทั้งนี้ได้แบ่งการประกวดเป็น 2 ประเภท  คือ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีที่ 1 – 3  และ ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ปีที่ 4 – 6 โดยวาดภาพผลงานลงบนกระดาษขนาด A3 ไม่จำกัดเทคนิคการวาด สามารถใช้สีได้ทุกประเภท

“การจัดการประกวดวาดภาพระบายสีครั้งนี้  เราได้รับความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)  ในการช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการไปยังโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้เด็ก ๆ ทั่วประเทศ ได้ส่งภาพเข้าประกวดอีกทั้งยังได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร เป็นประธานคณะกรรมการตัดสิน รวมถึงศิลปินผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมเป็นคณะกรรมการ อาทิ คุณครูสังคม ทองมี” นายรุ่งโรจน์กล่าว

ด้าน พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ให้ความเห็นว่า “ในหลายประเทศ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 พบว่ามาจากเด็กซึ่งไปโรงเรียน และเป็นเหตุให้โรงเรียนต้องปิด เพราะการดูแลเด็กๆ ให้ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง และล้างมือ เป็นสิ่งที่ยากสำหรับพวกเขา ทั้งนี้ การที่เด็กไม่ยอมใส่หน้ากากนั้น อาจเป็นเพราะความไม่คุ้นชิน และอีกสาเหตุหนึ่งคือขนาดของหน้ากากที่ไม่พอดีกับใบหน้าของพวกเขา นอกจากนี้ การที่เราจัดให้มีโครงการประกวดวาดภาพฯ ขึ้น เพื่อรณรงค์ให้เกิดความตระหนักรู้ทั้งในเด็ก ผู้ปกครอง ตลอดจนครูอาจารย์ เป็นการให้เห็นความสำคัญว่าหน้ากากเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะช่วยป้องกันพวกเขาจากโควิด-19 การประกวดวาดภาพจึงเปรียบเสมือนกุศโลบายขับเคลื่อนการตระหนักรู้โดยใช้พลังเด็กอีกด้วย ผมมั่นใจว่าการร่วมมือกันของทุกฝ่าย ทุกช่วงวัย จะช่วยลดอุบัติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 ในประเทศไทย ผมขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจี องค์กรที่ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน ช่วยรณรงค์ส่งเสริมค่านิยมในการใส่หน้ากากของเด็ก ซึ่งความร่วมมือกันในครั้งนี้จะทำให้เด็กๆ อันเป็นอนาคตของชาติมีความปลอดภัยมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องอยู่ร่วมกันที่โรงเรียน”

โครงการประกวดวาดภาพระบายสี เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2563 ซึ่งจะคัดเลือกผู้เข้ารอบจำนวน ประเภทละ 20 ภาพ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในวันที่ 5 กันยายน 2563 แล้วเปิดให้ทางบ้านร่วมโหวตผ่าน Facebook มูลนิธิเอสซีจี ระหว่างวันที่  6 – 18 กันยายน โดยภาพที่มียอด Like สูงสุดจะได้รับรางวัลขวัญใจมหาชน ซึ่งรอบสุดท้ายจะตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และประกาศผลผู้ชนะรางวัลในวันที่ 19 กันยายน 2563 ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจำนวน 20,000 บาท รวมเงินรางวัล 160,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย นอกจากนี้โรงเรียนต้นสังกัดของนักเรียนที่ได้รับรางวัลทั้งหมด จะได้รับชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 ประกอบไปด้วย เครื่องวัดอุณหภูมิ โรงเรียนละ 2 เครื่อง และสเปรย์แอลกอฮอล์ โรงเรียนละ 100 ขวด

สำหรับผู้ที่สนใจส่งภาพผลงานของนักเรียนเข้าประกวด สามารถศึกษากติกาและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.scgfoundation.org หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2586 2042 และ 0 2586 1190 และเฟซบุ๊กมูลนิธิเอสซีจี

โครงการประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (THAI KIDS FIGHT COVID)

ดาวน์โหลดใบสมัครประกวดวาดภาพระบายสีเด็กไทยสู้ภัยโควิด

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ ได้จัดโครงการประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID) ในระดับประถมศึกษาขึ้นในครั้งนี้ เพื่อให้เด็กๆ ได้เห็นความสำคัญของการดูแลและป้องกันตนเองที่โรงเรียนให้ห่างไกลจากการระบาดของ COVID-19 รวมไปถึงการปลูกฝังเรื่องสุขลักษณะสำหรับเด็ก เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง การล้างมือ เป็นต้น ทั้งนี้ ได้แบ่งการประกวดเป็น 2 ประเภท คือ
– ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีที่ 1 – 3
– ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ปีที่ 4 – 6

รายละเอียดโครงการประกวดวาดภาพระบายสี “เด็กไทยสู้ภัยโควิด” (Thai Kids Fight COVID)

เยาวชนที่กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา
ประเภท
– ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีที่ 1 – 3
– ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ปีที่ 4 – 6

ผลงาน
ภาพวาดขนาด A3 (ไม่ใส่กรอบ) ไม่จำกัดแนวคิด เทคนิคและประเภทของสี

การรับสมัคร
เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2563 สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.scgfoundation.org

ขั้นตอนการคัดเลือกและตัดสิน
รอบแรก – คัดเลือกผู้เข้ารอบ ประเภทละ 20 ภาพ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
รอบสอง – เปิดให้ทางบ้านร่วมโหวตผ่าน Facebook มูลนิธิเอสซีจี ระหว่างวันที่ 6 – 18 กันยายน 2563 ภาพที่มียอด Like สูงสุดจะได้รับ รางวัลขวัญใจมหาชน
รอบตัดสิน – ตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และ ประกาศผลผู้ชนะรางวัลในวันที่ 19 กันยายน 2563 ที่ www.scgfoundation.org

รางวัล
ระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีที่ 1 – 3 รวม 80,000 บาท
– รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล เงินสด 20,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์
– รางวัลดีเด่น 3 รางวัล เงินสดรางวัลละ 10,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลชมเชย 4 รางวัล เงินสดรางวัลละ 5,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลขวัญใจมหาชน 1 รางวัล เงินสด 5,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลขวัญใจคุณหมอ 1 รางวัล เงินสด 5,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลประกาศนียบัตร จำนวน 10 รางวัล

ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ปีที่ 4 – 6 รวม 80,000 บาท
– รางวัลยอดเยี่ยม 1 รางวัล เงินสด 20,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ในฐานะประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์
– รางวัลดีเด่น 3 รางวัล เงินสดรางวัลละ 10,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลชมเชย 4 รางวัล เงินสดรางวัลละ 5,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลขวัญใจมหาชน 1 รางวัล เงินสด 5,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลขวัญใจคุณหมอ 1 รางวัล เงินสด 5,000 บาท และ ประกาศนียบัตร
– รางวัลประกาศนียบัตร จำนวน 10 รางวัล
โดยโรงเรียนต้นสังกัดของนักเรียนที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ,รางวัลดีเด่น , รางวัลชมเชย และ ขวัญใจฯ จะได้รับชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด
– รางวัลยอดเยี่ยม มีประเภทละ 1 รางวัล รวม 2 รางวัล
– รางวัลดีเด่น มีประเภทละ 3 รางวัล รวม 6 รางวัล
– รางวัลชมเชย มีประเภทละ 4 รางวัล รวม 8 รางวัล
– รางวัลขวัญใจ มีประเภทละ 2 รางวัล รวม 4 รางวัล
– รวมทั้งหมด 20 รางวัล

ชุดอุปกรณ์ป้องกันโควิด
1.เครื่องวัดอุณหภูมิ โรงเรียนละ 2 เครื่อง รวม 20 โรงเรียน จำนวน 40 เครื่อง
2.สเปรย์แอลกอฮอล์ โรงเรียนละ 100 ขวด รวม 20 โรงเรียน

รายชื่อคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษามูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ประธานกรรมการตัดสินการประกวดวาดภาพฯ

รายชื่อคณะกรรมการ รอบคัดเลือก
กรรมการ คุณครูสังคม ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร
กรรมการ อ.ฑีฆาวุฒิ บุญวิจิตร รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กรรมการ นส.ลําพู กันเสนาะ ศิลปินอิสระ สาขาจิตรกรรม
กรรมการ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์
กรรมการ คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี

รายชื่อคณะกรรมการ รอบตัดสิน
กรรมการ คุณครูสังคม ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร
กรรมการ ผศ.ดร.อภิชาติ พลประเสริฐ หัวหน้าภาคศิลปะ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กรรมการ รศ.ทินกร กาษรสุวรรณ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กรรมการ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์
กรรมการ ผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

มูลนิธิเอสซีจี มอบ “ห้องน้ำเพื่อประชาชน”ให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับบริษัท เน็กซเตอร์ ดิจิตอล จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ SCG CHEMICALS

มอบ “ห้องน้ำเพื่อประชาชน”ให้แก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและสวนพุทธมณฑล เพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์แก่ประชาชนที่มาร่วมงานกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ณ สวนพุทธมณฑล

มูลนิธิเอสซีจี และกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ห่วงใยพี่น้องสื่อมวลชน ร่วมมอบสเปรย์แอลกอฮอล์ 15,000 ขวด ให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และรายการเรื่องเด่นเย็นนี้และสถานีวิทยุครอบครัวข่าว

จากวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อให้คนไทยการ์ดไม่ตกและเพื่อเผ้าระวังและป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดรอบที่ 2 กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ผู้ผลิตน้ำตาลครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ร่วมมือกับมูลนิธิเอสซีจี และ เอสซีจี เอ็กซ์เพรส ร่วมผลิตและขนส่งสเปรย์แอลกอฮอล์ขนาด 60 มิลลิลิตร จำนวนทั้งสิ้น 200,000 ขวด โดยได้ทยอยส่งมอบ และจัดส่งไปยังผู้รับในจุดหมายปลายทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสี่ยง หรือกลุ่มประชาชนผู้ขาดโอกาส กลุ่มผู้พิการ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน ตลอดจนสื่อมวลชน ในการนี้ มูลนิธิเอสซีจีร่วมกับกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง และเอสซีจี เอ็กซ์เพรส จึงได้ส่งมอบสเปรย์แอลกอฮอล์จำนวน 15,000 ขวดให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รายการเรื่องเด่นเย็นนี้และสถานีวิทยุครอบครัวข่าว โดยมี ดร. อุกฤษฏ์ อัษฎาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรุ่งเรืองพลังงาน จำกัด บริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล ภายใต้กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง และคุณยุทธนา เจียมตระการ กรรมการมูลนิธิเอสซีจี เป็นผู้ส่งมอบ เพื่อนำไปแจกให้กับสื่อมวลชน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพ ที่ต้องพบผู้คนมากมาย เดินทางเข้าไปรายงานข่าวในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยง เพื่อนำข้อมูล ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจสถานการณ์ โควิด-19 ให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงและเข้าใจสถานการณ์อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดส่งสเปรย์แอลกอออล์ไปยังกลุ่มผู้ขาดโอกาสต่าง ๆ ในสังคม ได้แก่ กลุ่มผู้พิการทางสายตา โรงเรียนคนตาบอด และกลุ่มพี่น้องประชาชนในชุมชนแออัด ตลอดจนพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงสเปรย์แอลกอฮอล์ยาก เพื่อสุขอนามัยที่ดี และช่วยลดการระบาดรอบที่ 2

ทั้งนี้ แม้ภาพรวม การระบาดในประเทศไทยจะน้อยลง แต่ก็ยังไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เพราะสถานการณ์ทั่วโลกยังมีการระบาดต่อเนื่อง จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทุกคนที่จะช่วยกันดูแลตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง มูลนิธิเอสซีจี และ เอสซีจี เอ็กซ์เพรส หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

มูลนิธิเอสซีจี มอบเครื่อง CT Scan วินิจฉัยโควิด-19 ให้โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ มูลค่า 14 ล้านบาท

มูลนิธิเอสซีจี โดยคุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วยคุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี และ ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ดูแลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรม ร่วมส่งมอบเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT Scan) มูลค่าเครื่องรวมถึงการปรับปรุงห้องสำหรับใช้งาน เป็นงบประมาณ 14 ล้านบาท โดยนวัตกรรมนี้ได้รับคำแนะนำจาก Chinese Academy of Sciences สามารถแสดงผลการตรวจที่คมชัดด้วยภาพความละเอียดสูง ที่มาพร้อมซอฟต์แวร์ที่พัฒนาเพื่อช่วยให้การวินิจฉัยอาการของโควิด-19 แม่นยำและรวดเร็ว รองรับการคัดกรองได้มากถึง 300 คน ต่อวัน อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคอื่นๆ โดยมี รศ. นพ. ธันย์ สุภัทรพันธุ์ รักษาการแทนรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย ศ.นพ. ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นตัวแทนรับมอบ

นอกจากนี้ มูลนิธิเอสซีจียังได้ส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ให้กับสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ อาทิ ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่ (Negative Pressure Isolation Room) และแคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบขนาดเล็กสำหรับเข้าเครื่อง CT Scan (Small Patient Isolation Capsule for CT Scan) เพื่อปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ สยามโกลบอลเฮ้าส์ ส่งกำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ ด้วยนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ให้โรงพยาบาลร้อยเอ็ด

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุน ห้องตรวจหาเชื้อและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง (Modular Screening & Swab Unit) และห้องน้ำสำเร็จรูป มูลค่า 3.9 ล้านบาทเพื่อเสริมความพร้อมหากมีสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวมีการแยกพื้นที่ระหว่างทีมแพทย์และคนไข้ออกจากกัน และใช้ระบบควบคุมแรงดันและคุณภาพอากาศที่เหมาะสม พร้อมมีระบบฆ่าเชื้อ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยสามารถติดตั้งในพื้นที่จำกัดได้ในเวลารวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งผู้ที่มาใช้บริการ โดยมีคุณวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานในงานรับมอบ พร้อมด้วย นายแพทย์ชลวิทย์ หลาวทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด ดร.นายแพทย์พิทักษ์พงศ์ พายุหะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดร้อยเอ็ด คุณวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และคุณบรรณ เกษมทรัพย์ Head of SCG Home Retail and Distribution Business ในฐานะผู้แทนมูลนิธิเอสซีจี ร่วมในพิธี

นายแพทย์ชลวิทย์ หลาวทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า จากการที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ดได้รับการสนับสนุนห้องตรวจหาเชื้อและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง (Modular Screening& Swab Unit) จากมูลนิธิเอสซีจี และบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและขอบคุณยิ่ง ที่ทั้งสององค์กรได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าในการดูแลผู้ป่วย ทำให้โรงพยาบาลมีห้องตรวจเชื้อและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงที่ได้มาตรฐานมาตรฐานสากล มีความปลอดภัย ทั้งนี้ โรงพยาบาลได้มีการต่อยอดพัฒนาห้องคัดกรอง และห้องตรวจให้เหมาะกับการใช้งานและการบริการผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ โดยได้ปรับสถานที่ให้บริการเป็นแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว หรือ One Stop Service กล่าวคือ เป็นจุดลงทะเบียน สอบถามประวัติ พบคุณหมอเพื่อตรวจสอบอาการ ทำการตรวจหาเชื้อ และรับยา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่จุดบริการอยู่ในพื้นที่ที่จัดแยกเป็นสัดส่วนออกจากอาคารหลักจึงไม่ไปปะปนกับผู้ป่วยอื่น จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ สำหรับการได้รับการสนับสนุนในครั้งนี้จะช่วยในการเตรียมความพร้อม หากเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง หรือเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง จะสามารถใช้ห้องตรวจนี้สำหรับการตรวจผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ได้แก่ ไข้หวัด และวัณโรคปอด ที่มีผู้มาตรวจรักษาเฉลี่ยถึงปีละกว่า 9,700 คนอีกด้วย สำหรับโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นโรงพยาบาลระดับ A ขนาด 820 เตียง มีผู้มาใช้บริการเฉลี่ยวันละ 2,000 คน สำหรับห้องตรวจหาเชื้อและคัดกรองผู้มีความเสี่ยงได้ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อย และพร้อมเปิดให้ บริการผู้ป่วยที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หรือจมูกไม่ได้กลิ่น โดยตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าตึกมหาวีโร ถนนริมคลอง โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เพื่อให้ผู้ที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงไม่ต้องเข้าไปปะปนกับผู้มาใช้บริการด้านใน เปิดให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563

คุณบรรณ เกษมทรัพย์ Head of SCG Home Retail and Distribution Business ในฐานะผู้แทนมูลนิธิเอสซีจี กล่าวเพิ่มเติมว่า นวัตกรรมห้องตรวจหาเชื้อและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง (Modular Screening & Swab Unit) นี้ พัฒนาจากเทคโนโลยีของ SCG HEIM และ Living Solution ภายในห้องตรวจผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ได้ออกแบบให้มีระบบ Smart Indoor Air Quality (IAQ Smart) ที่ช่วยควบคุมแรงดันและการหมุนเวียนของอากาศให้สะอาด ปลอดภัย และระบบการป้องกันอากาศรั่วไหล (Air Tightness) ที่ทำให้ห้องปิดสนิท ป้องกันอากาศเข้า-ออกตัวอาคาร ทำให้ในตัวอาคารสามารถควบคุมแรงดันอากาศได้เป็นอย่างดี โดยทีมแพทย์จะอยู่ในห้องความดันบวก ที่ไม่มีอากาศเสียจากภายนอกเข้าไป อากาศภายในจึงบริสุทธิ์ปลอดภัย ส่วนผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงติดเชื้อจะอยู่ในห้องความดันลบ และมีระบบดูดอากาศเสียออกไปกำจัดอย่างต่อเนื่อง จึงป้องกันไม่ให้มีอากาศฟุ้งกระจายออกไปภายนอก เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้แก่ทีมแพทย์ ซึ่งการเก็บตัวอย่าง (Swab) จะทำผ่านแผ่นอะคริลิกที่เจาะเป็นช่อง โดยแพทย์สามารถสอดมือผ่านช่องที่มีถุงมือคลุมด้วยพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อเก็บตัวอย่าง จึงลดความเสี่ยงในการปนเปื้อนจากผู้ที่เข้ารับการตรวจ พร้อมใช้แสงยูวีเข้มข้นสูง ฆ่าเชื้อโรค (UV Germicide) หลังจากการใช้งานในห้องทุกครั้ง ทั้งนี้ โครงสร้างกว่าร้อยละ 80 ประกอบขึ้นรูปภายในโรงงาน ที่มีการควบคุมคุณภาพ และความสะอาดตลอดกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถติดตั้งได้รวดเร็ว เพิ่มความปลอดภัย และลดความเสี่ยงการติดเชื้อสำหรับทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยที่มารับบริการ ได้ทราบผลที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

คุณวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงแรก และการเตรียมพร้อมรับมือถ้าหากเกิดการระบาดระลอกถัดมา สิ่งที่โรงพยาบาลต้องพบเจอเป็นด่านแรก คือ การตรวจและคัดกรองผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจากผู้ป่วยทั่วไปก่อนนำไปรักษา และในช่วงที่ผ่านมามีผู้มีอาการเข้ามาตรวจคัดกรองโรคอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่บริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ เป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ มีคู่ค้าและพนักงานที่ทำงานร่วมกันเป็นคนในจังหวัดร้อยเอ็ด และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก เราได้เล็งเห็นว่า โรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีภารกิจสำคัญยิ่งในการดูแลผู้ป่วยทั้งในจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดใกล้เคียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ยังมีความต้องการการสนับสนุนด้านความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกให้กับทีมบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่มาใช้บริการ

มูลนิธิเอสซีจี และกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ร่วมผนึกกำลัง มอบสเปรย์แอลกอฮอล์ 1 แสนขวด มูลค่า 5 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยการ์ดไม่ตก ปกป้องตัวเองจากโควิด-19

ในวิกฤตมักมีโอกาส และเป็นโอกาสที่เราจะได้เห็นเพื่อน เห็นกลุ่มคน เห็นองค์กรที่มีความถนัดแตกต่างกัน มาร่วมมือกัน เพื่อช่วยให้ประเทศของเราผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ครั้งนี้ก็เช่นกันที่กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ผู้ผลิตน้ำตาลครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ร่วมมือกับมูลนิธิเอสซีจี และ เอสซีจี เอ็กซ์เพรส  ร่วมผลิตและขนส่งสเปรย์แอลกอฮอล์ขนาด 60 มิลลิลิตร จำนวน 100,000 ขวด ให้แก่สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอสเพื่อส่งมอบสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงแรงงานแจกจ่ายเจ้าหน้าที่ผู้เผชิญกับความเสี่ยง และผู้ใช้แรงงานที่เดินทางข้ามเขตแดนทั่วประเทศ 

ดร. อุกฤษฏ์ อัษฎาธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรุ่งเรืองพลังงาน จำกัด บริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล ภายใต้กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง กล่าวถึงจุดเริ่มต้นในการร่วมมือครั้งนี้ว่า “เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ได้ทราบข่าวถึงความขาดแคลนแอลกอฮอล์ ทางเรามองเห็นว่าโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรที่ดูแลสถานที่กักตัวชั่วคราว เปรียบเสมือนด่าหน้าที่เสียสละเพื่อทุกคน เมื่อบริษัทฯ ได้รับอนุญาตจากกรมสรรพสามิตให้ผลิตแอลกอฮอล์เพื่อทำความสะอาดได้เป็นการชั่วคราว เราจึงส่งแอลกอฮอล์ไปยังโรงพยาบาลและหน่วยงานต่างๆ ที่ช่วยในการดูแลกักตัวกลุ่มเสี่ยงที่กลับมาจากต่างประเทศทันที ถึงตอนนี้ได้ส่งมอบแอลกอฮอล์ไปแล้วกว่า 70,000 ลิตร จากปริมาณที่ต้องการกว่า 100,000 ลิตร  ซึ่งเรายังคงทยอยส่งมอบตามความสะดวกของผู้มารับให้ได้ครบจำนวนที่ต้องการ ส่วนหนึ่งเราต้องขอบคุณหลายๆ บริษัทเช่นเดียวกันที่สนับสนุนถังบรรจุและกลีเซอรอลในช่วงแรก  ซึ่งขณะนั้นหาซื้อได้ลำบาก จนเราสามารถส่งมอบแอลกอฮอล์ไปให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานต่างๆ ได้กว่าร้อยแห่ง”

“มาถึงตอนนี้ หลังจากการขาดแคลนแอลกอฮอล์ที่โรงพยาบาลเบาบางลงแล้วเป้าหมายต่อไปของคนไทยทุกคน คือ ป้องกันไม่ให้โควิด-19 กลับมาอีก ซึ่งเราเชื่อว่ายังมีคนไทยบางส่วนยังไม่สามารถเข้าถึงแอลกอฮอล์ จึงร่วมกับมูลนิธิเอสซีจีผลิตแอลกอฮอล์แบบสเปรย์ ขนาดพกพา เพื่อให้คนไทยร่วมกันรักษาสุขอนามัยอย่างต่อเนื่อง ไม่ประมาท และช่วยกันหยุดโควิด-19 ไม่ให้กลับมาอีก” ดร. อุกฤษฏ์ กล่าว

ด้าน คุณยุทธนา เจียมตระการ กรรมการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการช่วยเหลือและปกป้องบุคลากรทางการแพทย์จากความเสี่ยงในการติดเชื้อ ด้วยการส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศด้วยงบประมาณกว่า 60 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นห้องตรวจเชื้อแบบเคลื่อนที่ แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อุปกรณ์ครอบศีรษะคนไข้เพื่อลดการฟุ้งกระจายสำหรับงานทันตกรรม อีกทั้งยังได้ส่งมอบชุดอุปกรณ์ปฏิบัติหน้าที่เพื่อแทนความห่วงใยและคำขอบคุณไปยังอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน (อสม.) เหล่าฮีโร่จิตอาสา จำนวน 600 ชุดด้วย”

“สถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยดูเหมือนว่าจะมียอดผู้ติดเชื้อลดลง แต่เราก็ยังประมาทไม่ได้ การ์ดต้องไม่ตก มูลนิธิเอสซีจีและกลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง จึงได้ร่วมมือผลิตสเปรย์แอลกอฮอล์ มอบให้กับกระทรวงแรงงานและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ และประชาชนซึ่งมีความเสี่ยงในการติดโรคระบาด เพราะต้องพบปะกับผู้ที่เดินทางข้ามเขตแดนจำนวนมากในแต่ละวัน จึงนับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มงานที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละนับแต่มีการระบาดของโรค พร้อมกันนี้ จะแจกจ่ายแอลกอฮอล์ให้กับกลุ่มแรงงาน โดยจะกระจายไปยังกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ และเขตปริมณฑล  กรมการจัดหางาน ด่านตรวจคนหางาน และสำนักงานจัดหางานทั่วประเทศ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และช่วยให้การเข้าออกประเทศเป็นไปอย่างปลอดภัยมากขึ้น  โดยได้รับความร่วมมือจากเอสซีจี เอ็กซ์เพรส ขนส่งแอลกอฮอล์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และที่สำคัญ ขอขอบคุณสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ที่ร่วมเป็นสื่อกลาง ให้เกิดการเชื่อมต่อและส่งมอบความปลอดภัยให้กับคนไทยในครั้งนี้” คุณยุทธนา กล่าว   

นอกจากการมอบแอลกอฮอล์ดังกล่าวแล้ว  กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง และมูลนิธิเอสซีจียังมีแผนแจกจ่ายสเปรย์แอลกอฮอล์อีก จำนวน 100,000 ขวด ให้แก่กลุ่มผู้ขาดโอกาสต่างๆ ในสังคม ได้แก่ กลุ่มผู้พิการทางสายตา โรงเรียนสอนคนตาบอด และกลุ่มพี่น้องประชาชนในชุมชนแออัดที่เข้าถึงสเปรย์แอลกอฮอล์ยาก เพื่อสุขอนามัยที่ดี และช่วยลดการระบาดรอบที่ 2  

ทั้งนี้ แม้ภาพรวมการระบาดในประเทศไทยจะน้อยลง แต่ก็ยังไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เพราะสถานการณ์ทั่วโลกยังมีการระบาดต่อเนื่อง จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันของคนไทยทุกคนที่จะช่วยกันดูแลตัวเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อบุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง มูลนิธิเอสซีจี และ เอสซีจี เอ็กซ์เพรส หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย ห่างไกลโควิด-19 แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

มูลนิธิ​เอส​ซี​จี ​ส่งมอบ “อสม. Kits” แทนความห่วงใย​ให้ อสม. จิต​อาสา​ หัวใจ​แกร่ง​ ฮีโร่ของ​ชุมชน

คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี และคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ได้ส่งมอบชุดอุปกรณ์ปฏิบัติหน้าที่ (อสม.Kits) แก่นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)​ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง และส่งเสริมให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของฮีโร่เหล่านี้ มูลนิธิ​เอส​ซี​จี ได้จัดทำและมอบ “อสม. Kits” ชุดกระเป๋า​ปฏิบัติ​งานป้องกันและเฝ้าระวัง​การแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19​ ให้แก่ อสม. กำลังสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังภารกิจสู้โควิด -19 ในการให้ความรู้ ติดตามกลุ่มเสี่ยง ช่วยคนในชุมชนให้ปลอดภัย
ภายในกระเป๋าประกอบไปด้วย

  1. เครื่องวัดอุณหภูมิ Infrared Thermometer
  2. เจลแอลกอฮอล์
  3. สเปรย์แอลกอฮอล์
  4. หน้ากากสะท้อนน้ำ ซึ่งสามารถป้องกันละอองฝอยต่างๆ​
  5. ชุดคลุม (เสื้อกันฝน) เพื่อให้เหมาะกับการเข้าสู่ฤดูฝน
  6. ถุงมือทางการแพทย์

โดยสิ่งของทั้งหมด บรรจุในกระเป๋าทำจากถุงปูน SCG ที่พกพาได้คล่องตัว เหมาะสมต่อการเดินทางเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายผ่านเครือข่ายต่างๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข หรือนักพัฒนาชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งยังได้รับความร่วมมือร่วมแรงจากเพื่นพนักงาน SCG มาช่วยแพ็ค “อสม. Kits” เหล่านี้ด้วย

ทั้งนี้ มูลนิธิเอสซีจีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอุปกรณ์เหล่านี้ จะช่วยให้ อสม. ผู้​อุทิศ​ตนเสียสละ สามารถทำงานได้สะดวก มีอุปกรณ์ป้องกันตัวอย่างเหมาะสม เพื่อการมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไปพร้อมกับคนไทยทุกคน มูลนิธิฯ ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

จุดไฟคนรักงานศิลป์ สานฝันแจ้งเกิดเป็นยุวศิลปินเลือดใหม่ กับโครงการ Young Thai Artist Award 2020 โดย มูลนิธิเอสซีจี ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

มูลนิธิเอสซีจี เปิดพื้นที่แห่งโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 18-25 ปีทั่วประเทศ ที่มีใจรักการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ มาปล่อยของ ประลองความคิดสร้างสรรค์ ประชันไอเดียศิลป์ เพื่อแจ้งเกิดเป็นยุวศิลปินเลือดใหม่ในวงการศิลปะกับโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย 2563 หรือ Young Thai Artist Award 2020 รางวัลถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เวทีการประกวดศิลปะสำหรับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ น้องๆ สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ถึง 6 สาขา ได้แก่ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี โดยผู้ชนะรางวัลผลงานยอดเยี่ยมแต่ละสาขาจะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัล 150,000 บาท พร้อมทัศนศึกษาสร้างแรงบันดาลใจและชมผลงานศิลปะในต่างประเทศ (หมายเหตุ: การทัศนศึกษาต่างประเทศอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เนื่องจากสถานกาณ์ Covid-19) ส่วนรางวัลดีเด่นจะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท

น้องๆ เยาวชนไทยหัวใจศิลป์ที่สนใจปลดปล่อยพลังความสามารถด้านศิลปะอย่างสร้างสรรค์ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัคร Online ได้ที่ www.youngthaiartistaward.com/ หรือโทร. 02 586 2042 พร้อมจุดไฟฝันให้คนรักงานศิลป์ตั้งแต่วันนี้ – 30 สิงหาคม 2563 สนใจติดตามความเคลื่อนไหว คลิก www.facebook.com/YoungThaiArtistAward/ และ www.instagram.com/youngthaiartistaward

Image preview...

มูลนิธิเอสซีจี ติดตั้ง “ตู้ปันน้ำใจ” กว่า 60 จุด ทั่วประเทศ

มูลนิธิเอสซีจี ติดตั้ง “ตู้ปันน้ำใจ” เพื่อเป็นตู้น้ำใจ ร่วมแบ่งปัน ซึ่ง “โครงการตู้ปันน้ำใจ” เป็นแนวคิดของการเชื่อมโยงกันระหว่าง “ผู้ให้” ที่มีกำลังหรือพอมีเหลือเพื่อแบ่งปัน กับ “ผู้รับ” ที่กำลังประสบภาวะยากลำบากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการส่งเสริมการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคม โดยมูลนิธิเอสซีจี ได้นำตู้บรรจุเครื่องอุปโภค – บริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันไปวางตามจุดต่างๆ ในชุมชน เพื่อให้คนที่ลำบากขาดรายได้มาหยิบไปให้พอดี และเผื่อแผ่ให้คนอื่นๆ ซึ่งต่อไปในวันข้างหน้าผู้รับก็อาจจะกลับมาเป็นผู้ให้บ้างเมื่อมีโอกาส เป็นการร่วมส่งต่อความดีให้กันในสังคมด้วย

ในตู้ปันน้ำใจจะมีสิ่งของทั้งของกิน ของใช้ ที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร ปลากระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม นมกล่อง ทิชชู่ ผ้าอนามัย สบู่ ผงซักฟอก ฯลฯ ซึ่งมูลนิธิฯ จะเลือกจุดวางในบริเวณชุมชนที่มีคนผ่านไปมา โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ให้และผู้รับเป็นสำคัญ เช่น หน้าตลาด สถานีตำรวจ สถานีรถไฟ วัด หรือโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากชุมชนบริเวณใกล้เคียงเช่น ตำรวจ วินมอเตอร์ไซค์ หรือพ่อค้าแม่ค้า ในการร่วมกันดูแลตู้ปันน้ำใจนี้

มูลนิธิฯ ได้นำตู้ปันน้ำใจตู้แรกไปทดลองวางที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน พบว่าทันทีที่ไปวางตู้ ก็มีเจ้าของร้านอาหารบริเวณใกล้เคียงมาร่วมเติมของ จากนั้นก็มีประชาชนทะยอยมาหยิบของไป จนถึงช่วงค่ำวันเดียวกันของในตู้ก็พร่องไปเพียงเล็กน้อย เพราะในขณะที่มีคนมาหยิบไปบ้าง ก็มีคนมาเติมของในตู้เช่นกัน

ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังได้ขยายความร่วมมือไปยังเครือข่ายต่างๆ ที่มาร่วมในการติดตั้งตู้ปันน้ำใจ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายสื่อมวลชนของไทยพีบีเอส ช่อง 7HD และยังได้ขยายไปยังจังหวัดต่างๆ ผ่านเครือข่ายต้นกล้าชุมชน โดยขณะนี้มีกว่า 60 จุดทั่วประเทศ

มูลนิธิเอสซีจี ส่งกำลังใจและดูแลบุคลากรการแพทย์ต่อเนื่อง เดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมป้องกัน โควิด-19 แก่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ มูลค่ากว่า 0.3 ล้านบาท

คุณวิชาญ จิตร์ภักดี กรรมการมูลนิธิเอสซีจี (คนแรกจากซ้าย) และคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบห้องตรวจเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่ (Negative Pressure Isolation Chamber)  แก่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โดยมี คุณศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ (ที่ 3 จากซ้าย) ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับมอบ เพื่อใช้สำหรับการตรวจวินิจฉัย (Swab) ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID – 19 แม้ว่าประเทศไทยเข้าสู่มาตรการผ่อนปรนแล้ว แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมแก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง โดยนวัตกรรมดังกล่าว มีการควบคุมความดันอากาศที่มีประสิทธิภาพ เเละระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ช่วยกรองอากาศให้สะอาด ปลอดภัย อีกทั้งสะดวกในการใช้งานอย่างมาก เพราะสามารถติดตั้งและเคลื่อนย้ายได้สะดวก โครงสร้างทุกชิ้นแข็งแรง ใช้พลาสติกที่มีคุณภาพสูงเป็นส่วนประกอบหลัก

รายชื่อบุคคลในภาพ (เรียงจากซ้ายไปขวา)

  1. คุณวิชาญ จิตร์ภักดี กรรมการมูลนิธิเอสซีจี
  2. คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี
  3. คุณศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร 
  4. คุณกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา กรรมการมูลนิธิเอสซีจี
  5. นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์
  6. นพ.เกรียงไกร ตั้งจิตรมณีศักดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์

มูลนิธิเอสซีจี ส่งความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ต่อเนื่อง มอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ให้โรงพยาบาลบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี

มูลนิธิเอสซีจี โดย คุณแสงชัย วิริยะอำไพวงศ์ พร้อมด้วย คุณสหรัฐ พัฒนวิบูลย์ ร่วมส่งมอบห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบเคลื่อนที่ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยมี คุณชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี แพทย์หญิงมนัญญา วรรณไพสิฐกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลบ้านโป่ง นายอำเภอบ้านโป่ง ผู้บริหารของโรงพยาบาล และราชการในพื้นที่ เป็นตัวแทนรับมอบ

ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบเคลื่อนที่ เป็นนวัตกรรมของเอสซีจีที่ออกแบบให้เหมาะกับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู หรือแม้แต่เป็นห้องพักผู้ป่วย เพื่อให้แพทย์และพยาบาลสามารถรักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงที โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่น ๆ ด้วยระบบควบคุมความดันอากาศที่มีประสิทธิภาพ เเละระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ช่วยกรองอากาศให้สะอาด ปลอดภัยต่อบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย โดยโครงสร้างทุกชิ้นมีความแข็งแรงและใช้พลาสติกที่มีคุณภาพสูงเป็นส่วนประกอบหลัก จึงสามารถติดตั้งและเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

บุคคลในภาพ (ซ้าย – ขวา) : คุณธนัชชา ว่องอมรนิธิ คุณรณภพ เวียงสิมมา นายอำเภอบ้านโป่ง คุณสหรัฐ พัฒนวิบูลย์ คุณแสงชัย วิริยะอำไพวงศ์ คุณกฤษณะ คำจันทร์ ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอบ้านโป่ง คุณชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี คุณจิรภัทร สิทธิสันต์ คุณเบญจรัตน์ จริยธาราสิทธิ์ สมาชิกวุฒิสภา คุณกิ่งกาญจน์ ทรัพย์เย็น รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล และแพทย์หญิงมนัญญา วรรณไพสิฐกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลบ้านโป่ง

มูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญร่วมอุดหนุนสินค้าชุมชน พร้อมแนะนำชุมชนให้เข้ามาพบปะผู้ซื้อได้ที่กลุ่ม “ชุมชนชวนช้อป”

“ชุมชนชวนช้อป” คือกลุ่มใน Facebook ที่เราตั้งใจให้เป็นตลาดนัดชุมชนออนไลน์… เชื่อมโยงผู้ผลิตจากชุมชนทั่วไทย ที่ตั้งใจนำความสดใหม่ของสินค้า หรือเอกลักษณ์ จากท้องถิ่น มาแบ่งปันให้กับเพื่อนผู้ซื้อ ที่อยากอุดหนุนสินค้าคุณภาพ ด้วยหวังว่าจะช่วยแบ่งปันความสุขทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ

เรายินดีต้อนรับผู้ผลิตผู้ค้าและนักช้อปทุกท่าน…แล้วพบกันที่นี่.. “ชุมชนชวนช้อป” www.facebook.com/groups/189454128831939/

มูลนิธิเอสซีจี ส่งพลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง มอบนวัตกรรม ห้องตรวจหาเชื้อ พร้อมชุดติดตามสุขภาพทางไกล แก่โรงพยาบาลศิริราช

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วยคุณพิทยา จั่นบุญมี กรรมการมูลนิธิเอสซีจี และคุณวัทธยา พรพิพัฒน์กุล คณะทำงานมูลนิธิเอสซีจี เป็นตัวแทนส่งมอบนวัตกรรมห้องตรวจหาเชื้อ (Modular swab unit) 1 ยูนิต ให้โรงพยาบาลศิริราช โดนยูนิตออกแบบแยกสัดส่วนพื้นที่ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยง พร้อมระบบควบคุมแรงดันและคุณภาพอากาศที่เหมาะสม จึงช่วยลดโอกาสการติดเชื้อพร้อมด้วยอุปกรณ์ติดตามสุขภาพทางไกล (Tele-Monitoring)54 ชุด เพื่อช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพผ่านระบบออนไลน์แบบเรียลไทม์ ลดการสัมผัสโดยตรงระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเก็บตัวตามลำพัง นอกจากนี้ยังได้ห้องน้ำสำเร็จรูป (Modular Bathroom) 2 ห้อง ให้กับศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล รวมมูลค่า 5.4 ล้านบาท โดยมี ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมด้วย รศ.นพ. วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เป็นตัวแทนรับมอบ

มูลนิธิเอสซีจี ดูแลบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ โรงพยาบาลศิริราช มูลค่ากว่า 1.6 ล้านบาท

มูลนิธิเอสซีจี เดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 แบบเคลื่อนที่ให้กับโรงพยาบาลอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลศิริราช เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องตรวจรักษาผู้ป่วยและผู้ที่เสียงติดเชื้อ COVID – 19 ด้วยระบบควบคุมความดันอากาศที่มีประสิทธิภาพ เเละระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ช่วยกรองอากาศให้สะอาด ปลอดภัย อีกทั้งสะดวกในการใช้งานอย่างมาก เพราะสามารถติดตั้งและเคลื่อนย้ายได้สะดวก โครงสร้างทุกชิ้นแข็งแรง ใช้พลาสติกที่มีคุณภาพสูงเป็นส่วนประกอบหลัก

ทั้งนี้นวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ประกอบไปด้วย 5 นวัตกรรม ได้แก่ ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่ (Negative Pressure Isolation Room) สำหรับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู หรือแม้แต่เป็นห้องพักผู้ป่วย โดยสามารถรักษาผู้ป่วยหนักได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นๆ ห้องตรวจเชื้อความดันลบหรือบวกแบบเคลื่อนที่ (Negative/Positive Pressure Isolation Chamber) ช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถสอดมือเข้าไปทำหัตถการ (Swab) โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ (Patient Isolation Capsule) ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แคปซูลความดันลบขนาดเล็ก สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อเข้าเครื่อง CT Scan (Small Patient Isolation Capsule for CT scan) ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าเครื่อง CT Scan และอุปกรณ์ครอบศีรษะคนไข้เพื่อลดการฟุ้งกระจายของเชื้อ สำหรับงานทันตกรรม (Dent Guard) ป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อระหว่างการทำงานทันตกรรม

การส่งมอบนวัตกรรมในครั้งนี้ มีคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี และดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ดูแลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรม ร่วมส่งมอบให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยมี ศ.นพ. สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นพ. นิพนธ์ เขมะเพชร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พร้อมด้วย ผศ.(พิเศษ) นพ.สุรินทร์ อัศววิทูรทิพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ ด้านภาพลักษณ์องค์กร เป็นตัวแทนรับมอบ  

โรงพยาบาลศิริราช มี ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วย รศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เป็นตัวแทนรับมอบ

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบ “ถุงน้ำใจ” เพื่อผู้ได้รับผลกระทบวิกฤตโควิด – 19

คุณรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ประธานกรรมการ และกรรมการมูลนิธิเอสซีจี ร่วมมอบ”ถุงน้ำใจ” บรรจุสินค้าบริโภค อุปโภค ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน เพื่อแทนความห่วงใย กับพี่ๆ น้องๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา-19 จำนวน 270 คน อาทิ แม่บ้านที่ช่วยดูแลความสะอาดให้ในช่วง​ Work​ from​ Home, พนักงานขับรถ, พนักงานขนย้าย, พนักงานเสิร์ฟ และช่างระบบอาคาร ที่ยังคงมาทำงานปฏิบัติหน้าที่ดูแลสำนักงานให้เรียบร้อย ปลอดภัย ในทุกๆ วัน

มูลนิธิเอสซีจี ส่งมอบนวัตกรรมห้องคัดกรอง (Modular Screening Unit) แห่งที่ 4 แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อปกป้องบุคลากรการแพทย์จากโควิด -19

คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วย คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการมูลนิธิเอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี ร่วมส่งมอบนวัตกรรมห้องคัดกรอง (Modular Screening Unit) จำนวน 1 ยูนิต มูลค่า 1.4 ล้านบาท ให้แก่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โดยมี ผศ.พญ.ยุวรีย์ พิชิตโชค รองผู้อำนวยการฯ ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและทรัพยากรบุคคล และ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนรับมอบ โดยนวัตกรรมดังกล่าว ถูกออกแบบให้แยกสัดส่วนพื้นที่ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ อีกทั้งภายในยังเป็นระบบความดันบวกและมีคุณภาพอากาศที่เหมาะสม จึงช่วยลดโอกาสการติดเชื้อให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทางโรงพยาบาลจะนำไปปรับใช้เป็นจุดลงทะเบียนผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังมีโรงพยาบาลทั่วประเทศอีกจำนวนมากที่ต้องการนวัตกรรมเพื่อการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ผู้ที่สนใจอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ สามารถร่วมบริจาคผ่าน“มูลนิธิชัยพัฒนา” “มูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม
โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” หรือ “มูลนิธิพาณิชย์สงเคราะห์ โดยหอการค้าไทย” เพื่อส่งมอบนวัตกรรมต่าง ๆ ให้โรงพยาบาลที่มีความต้องการ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คอลเซ็นเตอร์ โทร. 02-586-2888

รายชื่อบุคคลในภาพ (เรียงจากซ้ายไปขวา)

  1. อ.นพ.เพชร อลิสานันท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านสนับสนุนบริการ
  2. รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  3. ผศ.พญ.ยุวรีย์ พิชิตโชค รองผู้อำนวยการ ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรและทรัพยากรบุคคล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  4. คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี
  5. คุณนิธิ ภัทรโชค กรรมการมูลนิธิเอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเอสซีจี
  6. คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Living Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี
  7. คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี

มูลนิธิเอสซีจีเดินหน้าส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ แก่โรงพยาบาลรามาธิบดี

คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี และ ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ดูแลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรม ร่วมส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ ให้โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อให้บุคลากรการแพทย์ ทั้งยังใช้งานง่าย ติดตั้ง-เคลื่อนย้ายสะดวก โดยมี นพ. ณรงค์ฤทธิ์ มัศยาอานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ รศ.นพ.มล.ชาครีย์ กิติยากร หัวหน้าศูนย์นวัตกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นตัวแทนรับมอบ
ทั้งนี้นวัตกรรมป้องกันโควิด-19 แบบเคลื่อนที่ประกอบไปด้วย ห้องตรวจเชื้อความดันลบหรือบวกแบบเคลื่อนที่ (Negative/Positive Pressure Isolation Chamber) ช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถสอดมือเข้าไปทำหัตถการ (Swab) โดยไม่ต้องสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ (Patient Isolation Capsule) ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แคปซูลความดันลบขนาดเล็ก สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อเข้าเครื่อง CT Scan (Small Patient Isolation Capsule for CT scan) ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าเครื่อง CT Scan และอุปกรณ์ครอบศีรษะคนไข้เพื่อป้องกันเชื้อสำหรับงานทันตกรรม (Dent Guard) ป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อระหว่างการทำงานทันตกรรม

รายชื่อบุคคลในภาพข่าว

  1. คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี (ที่ 2 จากขวา)
  2. ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ดูแลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรม
    (ที่ 1 จากขวา)
  3. นพ. ณรงค์ฤทธิ์ มัศยาอานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
    (ที่ 2 จากซ้าย)
  4. รศ.นพ.มล.ชาครีย์ กิติยากร หัวหน้าศูนย์นวัตกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี (ที่ 1 จากซ้าย)

มูลนิธิเอสซีจี​ ร่วมส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ให้สถาบันบำราศนราดู​ร​ และสถาบันโรคทรวงอก​

เพื่อร่วมส่งกำลังใจและเป็นการขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์​ในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19​ ​มูลนิธิเอสซีจี​ ได้ร่วมส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ให้แก่สถาบันบำราศนราดู​ร​ และสถาบันโรคทรวงอก​ แทนความห่วงใยต่อแพทย์และพยาบาลผู้ทุ่มเทและเสียสละในการต่อสู้กับโรคโควิด​ -​ 19​

มูลนิธิเอสซีจี​ มอบแอลกอฮอล์เจลให้กรุงเทพมหานคร​ เพื่อให้เจ้าหน้าที่และชุมชนได้ใช้​ เพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จัดทำแอลกอฮอลล์ชนิดเจล มอบให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปมอบต่อให้กับเจ้าหน้าที่เก็บขยะ กวาดถนน ได้นำไปใช้ขณะปฏิบัติหน้าที่ และชุมชนแออัดต่างๆ ต่อไป

มูลนิธิเอสซีจี มอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท

มูลนิธิเอสซีจี มอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 : ห้องตรวจและคัดกรองผู้ป่วย ชุดอุปกรณ์ติดตามสุขภาพทางไกลและอุปกรณ์การแพทย์
ให้ 7 โรงพยาบาล มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และประธานกรรมการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจี รู้สึกห่วงใยในสถานการณ์
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ “ช่วยกันแคร์ดูแลกัน” ให้ประเทศไทยพ้นภัยครั้งนี้ ด้วยการมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ให้โรงพยาบาล 7 แห่ง เพื่อตอบโจทย์การยกระดับความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และผู้ใกล้ชิด ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณมูลค่ากว่า 50 ล้านบาทของ มูลนิธิเอสซีจี โดยประกอบด้วย
1.) ห้องตรวจและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง (Modular Screening & Swab Unit) ซึ่งมีระบบควบคุมแรงดันและคุณภาพอากาศที่เหมาะสม จึงช่วยลดโอกาสการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์และผู้เข้ารับการตรวจ โดยใช้เวลาในการติดตั้งที่หน้างานเพียง 3 วัน ด้วยนวัตกรรมของ SCG HEIM และ Living Solution ของเอสซีจี จำนวน 12 ยูนิต รวมมูลค่า 27 ล้านบาท
2.) ชุดอุปกรณ์ติดตามสุขภาพทางไกล (Tele-Monitoring) ที่เชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี Internet of things (IoT) โดย Living Solution ของเอสซีจี ช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพผ่านระบบออนไลน์แบบเรียลไทม์ สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเก็บตัว จึงช่วยลดการสัมผัสของบุคลากรทางการแพทย์กับผู้ป่วยได้ จำนวน 70 ชุด รวมมูลค่า 2 ล้านบาท
3.) ห้องน้ำสำเร็จรูป (Modular Bathroom) โครงสร้างผลิตจากคอนกรีตเบาแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงาน ทำความสะอาดฆ่าเชื้อง่ายจึงช่วยสร้างสุขอนามัยที่ดี โดยจัดวางแยกพื้นที่สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจคัดกรอง จำนวน 28 ห้อง รวมมูลค่า 1 ล้านบาท
4.) CT Scan ที่ช่วยตรวจและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว จำนวน 1 เครื่อง มูลค่า 15 ล้านบาท
5.) อุปกรณ์ทางการแพทย์ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ได้แก่

  1. แคปซูลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อ (Isolation Capsule) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย จำนวน 20 ยูนิต รวมมูลค่า 4 ล้านบาท
  2. ห้องตรวจเชื้อความดันลบแบบเคลื่อนที่ (Isolation Chamber) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคระหว่างการตรวจสอบเชื้อ จำนวน 5 ยูนิต (ยูนิตละ 3 ห้อง) รวมมูลค่า 1 ล้านบาท
  3. กล่องป้องกันเชื้อฟุ้งกระจาย (Aerosol Box) ช่วยในปฏิบัติการใส่ท่อช่วยหายใจ ผลิตจากแผ่นอะคริลิกชนิดใส จำนวน 200 ชิ้น รวมมูลค่า 3 แสนบาท

มูลนิธิเอสซีจีชวนเพื่อนพนักงานเอสซีจี เย็บหน้ากากผ้าทำเองใช้เอง

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา มูลนิธิเอสซีจีได้ชวนเพื่อนพนักงานเอสซีจี เย็บหน้ากากผ้าทำเองใช้เองเพื่อลดการใช้หน้ากากอนามัยให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ และแบ่งปันให้ผู้จำเป็นหรือขาดโอกาส โดยมีวิทยากร คุณภัทธิรา​ หาญ​สกุล สาธิตการเย็บหน้ากากอนามัย​จากผ้าคุณภาพดี​ที่มีเกิน​ Stock​ ของโรงงาน​ ตามแนวคิด​เศรษฐกิจหมุนเวียน​ (Circular​ Economy)​ ซึ่งพนักงานสามารถทำหน้ากากรวมกันแล้วได้ 50 ชิ้น และยังมีที่นำกลับไปทำต่อด้วย

มูลนิธิเอสซีจีขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันทำหน้ากากผ้าครั้งนี้

มูลนิธิเอสซีจี เป็นตัวแทนผู้สนับสนุนมอบอุปกรณ์ลาดตระเวน แก่ผู้พิทักษ์ป่าทั่วประเทศ

เชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี เป็นตัวแทนส่งมอบอุปกรณ์ลาดตระเวน ได้แก่ ชุดเครื่องแบบลายพราง และเป้เดินป่า จำนวน 3,868 ชุด มูลค่า 3.5 ล้านบาท แก่ผู้พิทักษ์ป่าทั่วประเทศ โดยมี ธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้รับมอบ ซึ่งรายได้ในการจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ผนึกพลังในการสนับสนุนช่วยเหลือการทำงานของผู้พิทักษ์ป่าผ่านกิจกรรมระดมทุนต่างๆ ที่จัดขึ้นภายใต้โครงการ HANDS FOR HEROES ตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา

ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ตระหนักถึงความสำคัญของผู้พิทักษ์ป่า และส่งต่อพลังสนับสนุนให้พวกเขามีกำลังใจปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง โดยไม่ต้อง“ห่วงหน้า พะวงหลัง” พร้อมปกป้องผืนป่าแทนคนไทยได้อย่างเต็มที่

เรือนสุขใจ พื้นที่แห่งความสุขของผู้ป่วยและครอบครัว

มูลนิธิเอสซีจีร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปรับปรุงพื้นที่โรงพยาบาลให้เป็นมากกว่าพื้นที่รักษาความเจ็บป่วยทางกาย แต่เป็นพื้นที่สร้างความสุขและช่วยฟื้นฟูจิตใจให้กับทุกคน

ด้วยการร่วมมือกันระหว่างมูลนิธิเอสซีจี กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างเพื่อสุขภาวะ
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี โดยหน่วยงาน
Cement and Construction Solution

‘เรือนสุขใจ’ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชบ้านดุง จ.อุดรธานี คืออาคารพักคอยญาติที่ผ่านการออกแบบพื้นที่ให้ตอบโจทย์การใช้เวลาในโรงพยาบาลอย่างแท้จริง

เฮือนสุขใจ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช มอบประกาศเกียรติคุณแก่เชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี ในพิธีเปิดอาคารพักคอยญาติ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน จ.ขอนแก่น ใน “โครงการเฉลิมราชย์ราชา จิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั่วไทย”

“เฮือนสุขใจ” นี้ เป็นอาคารเรือนพักญาติที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะที่ดีของคนทุกกลุ่ม ทุกวัย ทั้งผู้ป่วย ญาติ ตลอดจนประชาชนทุกคนที่มาใช้บริการ ผ่านกระบวนการออกแบบอย่างมีส่วนร่วม สอดคล้องกับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่และตรงตามความต้องการอย่างแท้จริงของผู้ใช้อาคาร ทั้งด้านความสุขสบายและการใช้เวลาพักคอยให้เกิดประโยชน์ โดยได้รับความร่วมมือจากกลุ่มวิจัยสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างเพื่อสุขภาวะ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

มูลนิธิเอสซีจี บ่มเพาะต้นกล้าชุมชน มุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ สร้างโอกาสให้คนหนุ่มสาว ได้กลับไปทำงานรับใช้ถิ่นฐานบ้านเกิด

เพราะเราเชื่อว่าไม่มีใครจะพัฒนาชุมชนได้ดีเท่ากับคนในชุมชน มูลนิธิเอสซีจึงเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวที่รักในถิ่นฐานบ้านเกิดได้สมัครเข้าร่วมโครงการ “ต้นกล้าชุมชน” โดยนำเสนอโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้ดำเนินโครงการนี้มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อมุ่งบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าเหล่านี้ให้แตกหน่อ ผลิใบ และหยั่งรากเติบใหญ่ในชุมชน

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงวัตถุประสงค์การดำเนินโครงการต้นกล้าชุมชนว่า “ด้วยความเชื่อว่า ไม่มีการสร้างใด จะยั่งยืนไปกว่าการสร้าง ‘คน’ มูลนิธิเอสซีจี จึงส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้กลับมาพัฒนาบ้านเกิด พัฒนาชุมชนในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ ต้นกล้าชุมชน มาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อมุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญในการดูแล และพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมูลนิธิฯ ได้ให้การสนับสนุนเบี้ยยังชีพ และค่าดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ให้แก่ต้นกล้าเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีพี่เลี้ยงนักพัฒนารุ่นพี่ ผู้มากประสบการณ์ในพื้นที่เป็นผู้ชี้แนะแนวทางการทำงานชุมชนทั้งภาคสนามและภาคทฤษฎี โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี มูลนิธิฯ ยังได้จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพน้องๆ ต้นกล้า โดยนอกจากจะเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขามาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับน้องๆ ต้นกล้าแล้ว ยังจัดให้น้องๆ ต้นกล้าได้เดินทางไปศึกษาดูงานการทำงานชุมชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเสริมประสบการณ์ พร้อมสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกันในอนาคต”

ครั้งนี้มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพต้นกล้าชุมชน โดยได้นำน้องๆ ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2 -5 และพี่เลี้ยง รวม 60 คน ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง “สามพรานโมเดล” โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนบนพื้นฐานความเป็นธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับคุณอรุษ นวราช ประธานกรรมการบริษัทสามพรานริเวอร์ไซด์ จำกัด และเสริมทักษะการเล่าเรื่อง และการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ตลอดจนเป้าหมายของการเล่าเรื่องกับคุณอัมมรา แผ่นดินทอง นักเขียนบทภาพยนตร์และ ซีรีย์ชื่อดัง และเสริมศักยภาพด้านการถ่ายภาพ การจัดองค์ประกอบภาพ และการแต่งภาพแบบง่ายด้วยมือถือกับคุณวิชญ เกียรติยิ่งอังศุลี ตากล้องอิสระ และบล๊อกเกอร์ด้านการถ่ายภาพ มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้

อีกทั้งยังได้เดินทางไปศึกษาดูงานศาสตร์พระราชาที่โครงอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์ (มูลนิธิชัยพัฒนา) จ.สมุทรสงคราม ที่ได้น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) มาเป็นแนวทางและหลักการดำเนินงานที่สำคัญซึ่งเป้าหมายอยู่ที่การมีส่วนร่วม การร่วมมือร่วมใจระหว่างสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนาและชาวอัมพวาทุกคนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนอัมพวาให้สามารถอยู่ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง

นอกจากนี้ยังได้ศึกษาดูงานที่สวนมะม่วงหาวมะนาวโห่ลุงศิริ การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรของเกษตรกรยุคใหม่ ที่ทั้งปลูก และแปรรูปผลผลิตเป็นสินค้าสารพัดกว่า 30 รายการ ไปจนถึงเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้ ศิริสมปองคาเฟ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ของอัมพวาที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมถึงเยี่ยมชมและอุดหนุนที่ ร้านข้าวใหม่ปลามัน ร้านต้นแบบด้านกิจการเพื่อสังคมแห่งเมืองอัมพวาที่ใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยการต่อยอดใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นควบคู่การอนุรักษ์อย่างมีส่วนร่วมของชุมชน

ด้านน้องกิ๊บ พจนา ศุภผล ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2 บัณฑิตแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยบูรพา เด็กสาวที่เรียนจบแล้วตั้งใจอยากมาทำงานที่บ้านเพื่อรักษาคนในชุมชน จ.ระยอง กล่าวว่า “การมาอบรมครั้งนี้ โดยส่วนตัวมองว่าการเขียนเล่าเรื่องถือเป็นอะไรที่สำคัญมาก เพราะการนำสิ่งที่เราเรียนรู้มาสื่อสารให้คนรับรู้ตลอดจนเข้าใจ เข้าถึงเนื้องานที่เราทำอย่างเช่น การรักษาผู้ป่วย เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับการรักษาด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทยให้สื่อออกไปให้คนในสังคมได้รับรู้ กลับไปคราวนี้ตั้งใจแล้วว่าจะกลับไปฝึกฝนด้านงานเขียน โดยเริ่มจากเล่าเรื่องราวต่างๆ ความรู้ใหม่ๆ ที่เราพบเจอ เพราะในสายงานพัฒนาทำให้เราเป็นคนที่ต้องเดินทางตลอด ในยุคออนไลน์ เราเชื่อว่าการสื่อสารผ่านเฟชบุ๊ค หรือกรุ๊ปไลน์ถือเป็นการประขาสัมพันธ์ในสิ่งที่เราทำงานได้ดีทีเดียว ต้องขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ”

ด้านน้องบาส ชยานันต์ ปัญญาคง ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 4 เด็กหนุ่มผู้หวังสืบสานดนตรีพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ในชุมชน จ.เชียงราย กล่าวเสริมว่า “การได้เรียนรู้และทำ Work Shop เรื่องภาพถ่าย ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใหม่มากสำหรับผม ผมสนุกกับการได้ลองถ่ายภาพและใช้โปรแกรมแต่งภาพเบื้องต้น ผมมองว่ามันเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงได้ง่าย ง่ายต่อกับการนำไปสื่อสาร เช่น ถ่ายภาพการแสดงดนตรีของเด็กๆ เยาวชนที่ผมฝึกสอนแล้วนำมาโพสต์ลงในช่องทางออนไลน์อย่างเพจของกลุ่มได้ ทำให้สังคมรับทราบในวงกว้างถึงความสามารถของเยาวชนในพื้นที่ สำหรับประเด็นการออกไปดูงานนอกสถานที่ ผมมองว่ามีจุดที่น่าสนใจอยู่ที่การหยิบใช้ภูมิปัญญาและวิถีชีวิตที่มีอยู่แล้ว แล้วนำมาปรับเข้ากับยุคสมัย นำมาสร้างเรื่องราวให้มันเด่นชัดขึ้น ซึ่งทำให้เกิดน่าสนใจเป็นอย่างมาก ผมตั้งใจนำความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ทั้งหมดไปพัฒนาต่อยอดงานในพื้นที่ของตนเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม”

นอกจากความรู้ที่ทางมูลนิธิฯ ได้เสริมคมเขี้ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้แล้วยังนับเป็นโอกาสอันดีที่ได้พี่ๆนักพัฒนาชุมชนรุ่นใหญ่ที่อุทิศตนมาเป็นพี่เลี้ยง ผู้อภิบาลดูแล หล่อเลี้ยง รักษาเมล็ดพันธุ์ต้นกล้าแห่งการพัฒนาเหล่านี้ให้เจริญงอกงาม

ป้าแล่ม ธีรดา นามให นายกสมาคมไทบ้าน (บ้านปลาบู่) จ.มหาสารคาม พี่เลี้ยงต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2 ฝากให้กำลังในการทำงานถึงน้องๆ ต้นกล้าว่า “น้องๆ ต้นกล้าทุกคนตอนนี้ถือว่าได้เริ่มฝึกฝนลงพื้นที่ในฐานะการเป็นนักพัฒนาชุนชนรุ่นใหม่ ขอให้ทำความเข้าใจในประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อนของตนเองให้ชัดเจน เพื่อง่ายในการนำมาสื่อสารออกมาอย่างนุ่มลึก ถ้าเราเข้าถึงจิตวิญญานทั้งต่อตนเองและผู้อื่นมันจะง่ายต่อการสื่อสาร ขอชื่นชมในความเป็นต้นกล้า เมล็ดพันธุ์ชั้นดีของแผ่นดินในความกล้าอุทิศตนในการทำงานเพื่อสังคม เพราะในการพัฒนา เราก็อยากให้มีคนหลากหลายวัยมาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ แล้วเราก็เชื่อมั่นว่าเราต้องได้มุมมองใหม่ๆ ไอเดียดีๆ จากคนรุ่นใหม่แน่นอน ขอเป็นกำลังใจให้ต้นกล้าทุกคนเติบโตอย่างงดงามค่ะ”

คุณสุวิมล กล่าวทิ้งท้ายว่า “มูลนิธิเอสซีจีภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ เพราะไม่ใช่เพียงต้นกล้าเหล่านี้จะมีอาชีพเป็นของตัวเอง แต่ยังสามารถสร้างอาชีพ กระจายรายได้ให้คนในชุมชน ได้ทำงานในบ้านเกิด ส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่ทิ้งรากเหง้าและวิถีชีวิตอันงดงามของตัวเองไป เราหวังว่าโครงการต้นกล้าชุมชนจะเป็นต้นแบบและจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่มีไฟ มีฝัน และพลังในการพัฒนาชุมชนบ้านเกิดของตนเองได้กลับไปทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างอนาคตที่ดีของชุมชนต่อไป”

มูลนิธิเอสซีจี “เชื่อมั่นในคุณค่าของคน”

หอมกรุ่นกลิ่นกาแฟ หนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจเด็กอาชีวะ

มูลนิธิเอสซีจีเปิดตัวหนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กอาชีวะฝีมือชนที่มีความฝัน ความพยายาม และมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน ผ่านหนังสั้น “ชงด้วยเลิฟ เสิร์ฟด้วยรัก” ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้จากการลงมือ มีฝีมือจากความพยายาม” นำเสนอเรื่องราวของความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อเผยแพร่และเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ อาชีวะ รับชมพร้อมกันทั่วประเทศ 19 กรกฎาคมนี้ ทางยูทูปแชนแนล scgfoundation และเฟซบุ๊กแฟนเพจ อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ

โครงการอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี จัดงานเปิดตัวหนังสั้นเรื่อง “ชงด้วยเลิฟ เสิร์ฟด้วยรัก” หนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนชีวิตเด็กอาชีวะที่มีความฝันอยากเป็นบาริสต้า และเส้นทางแห่งความฝันนี้เธอต้องพบเจอกับอะไรบ้างต้องคอยติดตามกัน งานในวันนี้ นำโดย คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี และคุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน ไม่เพียงการเปิดตัวหนังสั้นเรื่องใหม่จากมูลนิธิเอสซีจีเท่านั้น บนเวทียังมีการเสวนาในหัวข้อ “เรียนรู้จากการลงมือ มีฝีมือจากความพยายาม” โดย น้องเหมียว – สายชล เศรษฐากา ตัวแทนศิษย์เก่าอาชีวะ คุณครูกันญาภัค คล้ายสิงห์โต ตัวแทนคุณครูอาชีวะ คุณอธิชัย แสงทอง ครีเอทีฟฝีมือเยี่ยมผู้คิดหนังสั้นเรื่องนี้ และแขกรับเชิญพิเศษ คุณเดี่ยว – สุริยนต์ อรุณวัฒนกูล ตัวแทนศิลปินดารา เจ้าของกิจการร้านกาแฟที่มีประสบการณ์การทำงานกับน้อง ๆ อาชีวะ ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ รวมถึงแง่คิดดีๆ ในการสร้างแรงบันดาลใจ ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

เชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า นับแต่ปี พ.ศ. 2556 มูลนิธิเอสซีจีได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สนใจศึกษาต่อด้านอาชีวะในสายช่างอุตสาหกรรม สายบริการและสายเกษตรกรรม ภายใต้โครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เรียนอาชีวะ ปัจจุบันนี้มูลนิธิฯ ให้ทุนการศึกษาอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ ไปทั้งสิ้น 2,450 ทุน เพราะมูลนิธิฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างบุคลากรในสาขาวิชาดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 เด็กอาชีวะฝีมือชนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กอาชีวะ แต่พวกเขาคือฟันเฟืองที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

“ในปีนี้ มูลนิธิเอสซีจีต้องการที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กอาชีวะสายบริการ โดยข้อมูลความต้องการแรงงานอาชีวศึกษาในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ (First S-Curve) ในช่วงปี 2560-2564 พบว่ากลุ่ม First S-Curve เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีรายได้และการเติบโตดี นอกจากนี้ การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยว เชิงสุขภาพ ก็เป็นแนวโน้มที่มาแรงในปัจจุบันอีกด้วย นอกจากเรื่องการสร้างกำลังคนในสายอาชีวะด้วยการมอบทุนการศึกษา อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติแล้ว มูลนิธิฯ ยังเดินหน้าเสริมสร้างทัศนคติอันดีของสังคมที่มีต่อผู้เรียนและการเรียนอาชีวะควบคู่กันไป

โดยในปีนี้ มูลนิธิฯ ได้นำเสนอเรื่องราวที่แสดงให้เห็นศักยภาพและความสามารถของน้อง ๆ อาชีวะ ที่มุ่งเน้นการเรียนการสอนแบบลงมือปฏิบัติ เพื่อนำไปประกอบอาชีพได้จริง ผ่านหนังสั้นเรื่อง “ชงด้วยเลิฟ เสิร์ฟด้วยรัก” ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้จากการลงมือ มีฝีมือจากความพยายาม” เพื่อส่งเสริมให้สังคมมีมุมมองและทัศนคติที่ดีต่อนักเรียนอาชีวะ มองเห็นถึงความตั้งใจในการเลือกเรียนสายปฏิบัติ และรู้จักสาขาบริการมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาจริง ๆ แล้ว สังคมก็มีมุมมองที่ดีต่อนักเรียนอาชีวะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากเมื่อพูดถึงอาชีวศึกษาคนส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่สายช่าง และอาจยังไม่รู้จักอาชีวะสายบริการดีเท่าที่ควร ซึ่งในสายนี้น้อง ๆ สามารถที่จะใช้ทักษะฝีมือที่ได้จากการเรียนอาชีวะ ไม่ว่าจะเป็นจากการจัดดอกไม้ การประกอบอาหาร การทำเครื่องดื่ม หรือการแกะสลัก มาเลี้ยงดูตัวเองได้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ หรือยึดเป็นอาชีพหลักได้ เหล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต” เชาวลิต กล่าว

ด้าน วิทิต คำสระแก้ว ผู้กำกับหนังสั้น “ชงด้วยเลิฟ เสิร์ฟด้วยรัก” เล่าให้ฟังถึงการนำเสนอเนื้อหาของหนังสั้นเรื่องนี้ว่า ภาพจำของคนที่รู้จักเด็กอาชีวะส่วนใหญ่ คือเป็นผู้ชาย เรียนช่างยนต์ ช่างก่อสร้าง แต่ในปีนี้ได้รับโจทย์เบื้องต้นจากมูลนิธิเอสซีจี ที่อยากจะหยิบยกเด็กอาชีวะอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นบุคลากรที่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการและการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นรายได้หลักของประเทศมาพูดถึง เรามีเจตนาที่จะพูดถึงทักษะฝีมือของเด็กอาชีวะ เชิดชูคุณค่าของคนที่ลงมือทำ ตลอดจนปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมให้รู้ว่ายังมีเด็กอาชีวะจำนวนมากที่เป็นเด็กที่มีคุณภาพและมีศักยภาพ และเป็นสิ่งที่ควรจะถ่ายทอดออกไปให้คนภายนอกได้รับรู้

“มูลนิธิฯ และทีมผู้สร้างมีเจตนาที่ดีเสมอ โดยพื้นฐานตั้งต้นอาจจะเหมือนแค่เล่าเรื่องเด็กอาชีวะทั่วไป แต่ผมว่าหนังทุก ๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงเพียงแค่เด็กอาชีวะ แต่พูดถึงสังคมไทยโดยรวมเลยก็ว่าได้ คือการให้ความสำคัญกับคนที่มีส่วนผสมของความรู้ในเชิงทฤษฎีและเป็นนักปฏิบัติในคน ๆ เดียวกัน ซึ่งมูลนิธิฯ พยายามจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ตลอดเวลา และคิดว่าหนังเรื่องนี้จะช่วยสื่อออกไปได้ ทั้งช่วยสร้างแรงบันดาลใจกับเด็กอาชีวะเบื้องต้นก่อน แล้วก็รวมไปถึงผู้ปกครองหรือญาติพี่น้อง ทำให้เค้ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวบุตรหลานของตัวเองที่จบจากสถาบันอาชีวะ และสนับสนุนให้เด็กทำในสิ่งที่รัก ผมเชื่อว่าการเริ่มต้นจากสิ่งที่เรารัก จะทำให้เราพยายามมากกว่าปกติ และความพยายามที่มากกว่าปกติ ก็มักจะทำให้การเติบโตของเราเร็วกว่าปกติ และเมื่อเติบโตเร็วกว่าปกติ ความสำเร็จก็จะมาถึงเร็วกว่าปกติเช่นกัน ดังนั้น ความรักจึงเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง และความพยายามในการฝึกฝนตัวเอง ฝึกทักษะฝีมือ และสั่งสมประสบการณ์ ถือเป็นสูตรลับสู่ความสำเร็จ” นายวิทิต กล่าว
ทั้งนี้ หนังสั้น เรื่อง “ชงด้วยเลิฟ เสิร์ฟด้วยรัก” โดยมูลนิธิเอสซีจี เผยแพร่ผ่านทางยูทูปแชนแนล scgfoundation และเฟซบุ๊กแฟนเพจอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ

มูลนิธิเอสซีจี จัดกิจกรรม “Run for Heroes วิ่งเพื่อผู้พิทักษ์ป่า” ปีที่ 2 รวมพลคนรักษ์ป่า นำรายได้จัดซื้ออุปกรณ์ลาดตระเวนเพื่อผู้พิทักษ์ป่าทั่วประเทศ

นายเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับ นายเฉลิมชัย ปาปะทา รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วยองค์กรภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จัดกิจกรรม “Run for Heroes วิ่งเพื่อผู้พิทักษ์ป่า” ปีที่ 2 โดยมีเหล่านักวิ่งสายแข็ง ศิลปินดาราจิตอาสา และบุคคลที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายวงการ มาร่วมวิ่งเพื่อนำรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายไปจัดซื้อชุดอุปกรณ์ลาดตระเวนให้กับผู้พิทักษ์ป่าทั่วประเทศ ซึ่งกิจกรรมนี้อยู่ภายใต้โครงการ “HANDS FOR HEROES” รวมมือเรา เพื่อคนเฝ้าป่า ปีที่ 2 ซึ่งมูลนิธิเอสซีจีมุ่งจุดประกายให้ทุกภาคส่วนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญและภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการปกป้องผืนป่าแทนคนไทยทุกคนของผู้พิทักษ์ป่า และขยายความร่วมมือ ส่งต่อพลังสนับสนุนการทำงานของผู้พิทักษ์ป่าให้มีกำลังใจปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ต้อง ‘ห่วงหน้า พะวงหลัง’ ณ สวนพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

มูลนิธิเอสซีจี ชวนน้องๆ อาชีวะ มาร่วมกิจกรรม “Review Skills เจ๋ง คนเก่งอาชีวะ”

มูลนิธิเอสซีจี ชวนน้องๆ อาชีวะ มาร่วมกิจกรรม “Review Skills เจ๋ง คนเก่งอาชีวะ” มีดีอย่ารอช้า เราท้าให้อวด ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 60,000 บาท

โครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” โดยมูลนิธิเอสซีจี ขอเชิญน้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ในระดับอาชีวศึกษา ในกลุ่มสาขาวิชาคหกรรม อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสิ่งทอ ทั่วประเทศ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันโชว์ทักษะและความสามารถ เพียงส่งคลิปวิดีโอ โชว์ทักษะที่คิดว่าสุดคูล ในกิจกรรม “Review Skills เจ๋ง คนเก่งอาชีวะ” เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพความเจ๋งและโดดเด่นของเด็กอาชีวะที่มากด้วยฝีมือ

กติกาคือส่งคลิปวิดีโอความยาวไม่เกิน 5 นาที (MP4) อวดฝีมือแบบจัดเต็มที่คิดว่าโดน ว่าเจ๋ง ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะการชงกาแฟสไตล์บาริสต้า เสน่ห์ปลายจวักสำรับคาวหวาน ทักษะการพูด การนำชมสถานที่ต่างๆ ในแบบฉบับมัคคุเทศก์สุดเชี่ยว หรืองานประดิดประดอย ร้อย จีบ พับ จัดดอกไม้ เป็นต้น เพื่อหาผลงานที่โดนใจกรรมการ โดยผู้ส่งคลิปที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษามูลค่า 15,000 บาท รองชนะเลิศได้รับทุนการศึกษา 10,000 บาท และ 5,000 บาท ตามลำดับ และวิทยาลัยต้นสังกัดยังจะได้รับการสนันสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอนซึ่งมีมูลค่าเท่ากับเงินรางวัลที่ได้รับแต่ละรางวัลอีกด้วย

ผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของกิจกรรม “Review Skills เจ๋ง คนเก่งอาชีวะ” ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ: อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ สมัครและส่งผลงาน หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร.08-3770-2314, 09-5146-6163 แต่วันนี้ – 24 มิถุนายน ศกนี้

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จ ฯ พระราชทานรางวัล และทรงเปิดนิทรรศการ “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย” โดย มูลนิธิเอสซีจี ครั้งที่ 15 ประจำปี 2561

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานพิธีพระราชทานรางวัล และทรงเปิดนิทรรศการ “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย” โดย มูลนิธิเอสซีจี ครั้งที่ 15 ประจำปี 2561 แก่ผู้ชนะการประกวดผลงานศิลปะระดับเยาวชน โดยมีนายเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นางสาวสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี พร้อมด้วย นางพูลศรี จีบแก้ว ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป และคณะผู้จัดงานร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ

ในการนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานรางวัลให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย ประจำปี 2561 จำนวน 6 ราย จากนั้นเสด็จ ฯ ไปยังห้องจัดแสดงนิทรรศการ ทรงตัดแถบแพรเปิดนิทรรศการ พร้อมทอดพระเนตรนิทรรศการ ต่อมาทรงวาดภาพฝีพระหัตถ์ ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ

นายเชาลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “มูลนิธิเอสซีจีเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นเรื่องการพัฒนาคน และตระหนักถึงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ที่มีความสามารถด้านศิลปะจึงได้ร่วมกับหน่วยงานด้านการศึกษา และการส่งเสริมศิลปะหลายแห่งทั่วประเทศ จัดทำโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย มาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อเฟ้นหาเยาวชนที่มีความสามารถทางศิลปะที่โดดเด่นอันเป็นการสนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้เกิดความกระตือรือร้นในการสร้างสรรค์ผลงานอันนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของวงการศิลปะไทยให้ก้าวไปสู่การยอมรับในระดับสากล เพราะการสร้างยุวศิลปินถือเป็นการวางรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาวงการศิลปะไทยอย่างยั่งยืนสืบไป”

ซึ่งในปี 2561นี้ผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขา ศิลปะ 2 มิติ ได้แก่ “จิตใต้สำนึกที่ซ่อนเร้น” โดย นางสาวนิตยา เหิรเมฆ ผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขา ศิลปะ 3 มิติ ได้แก่ “ลมหายใจของสิ่งมีชีวิตภายใต้การกำหนดของมนุษย์” โดย นายภาราดา ภัทรกุลปรีดา ผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขา ภาพถ่าย ได้แก่ “สภาวะซ่อนเร้น” ผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขา ภาพยนตร์ ได้แก่ “เงาสูญสิ้นแสง” โดย นายกฤษดา นาคะเกตุ ผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขา วรรณกรรม ได้แก่ “กระดาษคำตอบ” โดย นายชลัช จินตนะ และผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมสาขา การประพันธ์ดนตรี ได้แก่ “จิ๋งเญ่า” โดย นางสาวชุดาลักษณ์ พินันท์ ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมทั้ง 6 สาขา รับเงินรางวัล 150,000 บาท พร้อมศึกษาดูงานศิลปะระดับโลก รางวัลดีเด่นจำนวน 26 คน รับเงินรางวัล 50,000 บาท และ รางวัล Final List จำนวน 2 คน รับเงินรางวัล 10,000 บาท

ด้าน นายภาราดา ภัทรกุลปรีดา เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยม สาขาศิลปะ 3 มิติ กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานว่า ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการพฤติกรรมการใช้แรงงานสัตว์ของมนุษย์ ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้จะไม่ได้ใช้แรงงานเหมือนในอดีต แต่ก็ยังคงหลงเหลือพฤติกรรมต่างๆ อย่างเช่น การล่าม การขัง การฝึกสัตว์ ที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์นั้นได้นำความเป็นคนใส่ลงไปในสัตว์
“ผมต้องการสะท้อนสังคมผ่านเรื่องราวของช้าง ที่ต้องเจอกับความทุกข์ยาก ความหดหู่ และความเศร้า จากการถูกควบคุมขัง บังคับใช้แรงงาน ยัดเยียดภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ตามความต้องการของคน โดยที่สัตว์เหล่านั้นไม่ได้ต้องการภาระหน้าที่ แต่ก็ไร้หนทางที่จะปฏิเสธ เป็นการสื่อให้ถึงความเจ็บปวดของสัตว์ที่มีลมหายใจ

ด้านนางสาวชุดาลักษณ์ พินันท์ เจ้าของผลงาน จิ๋งเญ่า เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยม สาขาการประพันธ์ดนตรี กล่าวว่า ตนได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเรื่อง เจ้าหงิญ ซึ่งเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องของโลกในจินตนาการมาผสมกับโลกความเป็นจริง โดยในเรื่องได้พูดถึงคุณค่า การแสวงหาความสุขในชีวิต การเรียนรู้ประสบการณ์ทางอารมณ์ วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรค เกิดเป็นแรงสร้างสรรค์ในการพัฒนาวิธีการใช้เสียงต่างๆของแซกโซโฟน
“คำว่า จิ๋งเญ่า มาจากคำผวนของคำว่า เจ้าหญิง ต้องการเล่นคำเพื่อแสดงให้เห็นว่า เราสามารถมองเห็นสิ่งเดิมในมุมมองใหม่ได้ และสามารถนำสิ่งใหม่เหล่านั้นมาพัฒนาต่อยอดในอนาคต ซึ่งบนประพันธ์ดนตรี จิ๋งเญ่า จึงถือได้ว่าเป็นการนำความสามารถของแซกโซโฟนในรูปแบบต่างๆ มาสร้างสรรค์ดนตรีใหม่ แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติของเครื่องดนตรีเดิมอยู่”

ทั้งนี้ นิทรรศการ “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย ประจำปี 2561” จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2562 เวลา 09.00-16.30 น. ณ อาคาร 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เขตพระนคร

สำหรับการประกวดรางวัลโครงการยุวศิลปินไทย ประจำปี 2562 ได้เปิดโอกาสให้ยุวศิลปินอายุ 18- 25 ปี ได้ใช้จินตนาการ ผสานกับศักยภาพทางศิลปะ ถ่ายทอดความงดงามให้ปรากฏในรูปของผลงานศิลปะสร้างสรรค์จรรโลงสังคม จำนวน 6 สาขา ได้แก่ ศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี ทั้งนี้ จะเปิดรับผลงานวันนี้-กรกฎาคม 2562 โดยสามารถติดตามรายละเอียด ได้ทาง เฟซบุ๊ค: YoungThaiArtistAward หรือ www.scgfoundation.org

โครงการ “HANDS FOR HEROES รวมมือเรา เพื่อคนเฝ้าป่า” มูลนิธิเอสซีจี เป็นตัวแทนผู้สนับสนุนมอบอุปกรณ์ลาดตระเวน แก่ผู้พิทักษ์ป่าทั่วประเทศ

นายเชาวลิต เอกบุตร (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี เป็นตัวแทนส่งมอบอุปกรณ์ลาดตระเวน ได้แก่ ชุดเครื่องแบบลายพราง และเป้เดินป่า จำนวน 3,635 ชุด มูลค่า 3.7 ล้านบาท แก่ผู้พิทักษ์ป่า ทั่วประเทศที่สังกัดสำนักงานอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักงานอุทยานแห่งขาติ และสำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุม ไฟป่า โดยมี นายธัญญา เนติธรรมกุล (ที่ 5 จากซ้าย) อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้รับมอบ ณ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งรายได้ในการจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน และภาคประชาชน ที่ผนึกพลังในการสนับสนุนช่วยเหลือการทำงานของผู้พิทักษ์ป่าผ่านกิจกรรมระดมทุนต่างๆ ที่จัดขึ้นตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา ได้แก่กิจกรรม Paint for Heroes กิจกรรม Run for Heroes เดิน-วิ่งเพื่อผู้พิทักษ์ป่า และกิจกรรม Song for Heroes เวทีนี้เพื่อผู้พิทักษ์ป่า รวมทั้งการสนับสนุนเสื้อโครงการและเสื้อประมูลจากกิจกรรม Paint for Heroes โดยรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ลาดตระเวนมอบผู้พิทักษ์ป่า

ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ตระหนักถึงความสำคัญของผู้พิทักษ์ป่า และส่งต่อพลังสนับสนุนให้พวกเขามีกำลังใจปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็ง โดยไม่ต้อง “ห่วงหน้า พะวงหลัง” พร้อมปกป้องผืนป่าแทนคนไทยได้อย่างเต็มที่

ในปี 2562 นี้ มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าโครงการ “HANDS FOR HEROES รวมมือเรา เพื่อคนเฝ้าป่า” เพื่อขยายความร่วมมือไปยังทุกๆ ภาคส่วนให้มารวมพลังกัน และกระจายความช่วยเหลือไปยังผู้พิทักษ์ป่าให้ได้มากที่สุดผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นตลอดปี 2562 นี้ อาทิ Run for Heroes II และ Bike for Heroes

สำหรับผู้สนใจร่วมส่งต่อพลังใจเพื่อคนเฝ้าป่า สามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ของโครงการ “HANDS FOR HEROES” ผ่านแฟนเพจ www.facebook.com/handsforheroes หรือร่วมสมทบทุน เพื่อสนับสนุนการทำงานของผู้พิทักษ์ป่าได้ที่ธนาคาร ไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี : แฮนดส์ ฟอร์ ฮีโร่ส์ โดยมูลนิธิเอสซีจี เลขที่บัญชี 468-0-71691-0

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ มูลนิธิเอสซีจี โทร 0 2586 4177 หรือ 0 2586 5506

ลำดับรายชื่อจากซ้าย-ขวา

  1. คุณสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ประธานกรรมการบริษัททีวีบูรพา จำกัด
  2. คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี
  3. คุณวรพล เจนนภา กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเอสซีจี
  4. คุณเชาวลิต เอกบุตร กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี
  5. คุณธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  6. คุณเฉลิมชัย ปาปะทา รองอธิบดีกรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  7. คุณจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  8. คุณสว่าง กองอินทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง

เปิดบ้านต้อนรับอาชีวะรุ่นเยาว์ สู่ครอบครัวมูลนิธิเอสซีจี กับโครงการอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ

ด้วยภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยกำลังฟื้นตัวและขยายตัวเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ความต้องการทรัพยากรคนที่มีศักยภาพและมีทักษะฝีมือ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ จากผลดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือน พ.ค. 2561 ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) พบว่ามีอัตราขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 3.8% ทำให้ความต้องการกำลังคนสายอาชีพในประเทศเพิ่มจำนวนมากขึ้น มูลนิธิเอสซีจีซึ่งมุ่งเน้นเรื่องการสร้างคนด้วยการศึกษา โดยเฉพาะสายอาชีวะเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ได้มอบทุนการศึกษา “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งในปีนี้มีนักเรียนทุนฯ ทั้งสิ้น 400 คน ทั้งในสายช่างอุตสาหกรรม สายบริการและสายเกษตรกรรมจากทั่วประเทศ

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า โครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กไทยได้มีโอกาสศึกษาต่อในสายอาชีพ พร้อมพัฒนาสู่การเป็น ‘อาชีวะฝีมือชน’ ที่ทั้งเก่งและดี โดยในประเทศไทยเองก็มีสถาบันอาชีวศึกษาชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสำหรับช่วยพัฒนาประเทศมากมาย มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบโอกาสดีๆ ให้แก่น้องๆ ที่สนใจการเรียนอาชีวะ โดยมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน ชั้น ม.3 ที่สามารถสอบเข้าศึกษาต่อหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในสาขาช่างอุตสาหกรรม สาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สาขาคหกรรมศาสตร์ สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ และสาขาเกษตรกรรม ซึ่งทุนนี้ไม่มีภาระผูกพันต้องใช้คืน และเป็นทุนต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)

“สำหรับกิจกรรมปฐมนิเทศนี้ มูลนิธิฯ จัดขึ้นเพื่อต้อนรับน้องๆ สู่ครอบครัวมูลนิธิเอสซีจีอย่างเป็นทางการ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนจากต่างสถาบัน รวมถึงยังมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดและมุมมองที่เป็นประโยชน์จากรุ่นพี่อาชีวะฝีมือชน คนต้นแบบ ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นการเรียน และการใช้ชีวิตในสถานศึกษา รวมถึงข้อคิดดีๆ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเข้าร่วมโครงการฯ และการเรียนของน้องๆ ต่อไป” สุวิมล กล่าว

ตัวแทนน้องนักเรียนทุนฯ รุ่นใหม่อย่าง น้องดล นายธนดล สุวรรณโคตร นักเรียนระดับชั้น ปวช.1 สาขาก่อสร้างโยธา วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า “ผมสนใจการเรียนสายอาชีพมานานแล้ว ประกอบกับความต้องการของครอบครัวด้วยที่อยากให้ผมเรียนสายอาชีพ เพราะการเรียนในสายนี้จะทำให้ผมได้รับความรู้ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติภายในห้องเรียน อีกทั้งสามารถเรียนไปด้วยและประกอบอาชีพเพื่อหาเงินมาช่วยเลี้ยงดูครอบครัวของผมไปด้วย”

“หลังจากที่ได้ทราบว่าผมได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจี ผมรู้สึกดีใจมากแทบจะเป็นลม เพราะนี่ถือเป็นการแบ่งเบาค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัวผม อีกทั้งยังช่วยสานฝันให้ผมได้เรียนต่อในสิ่งที่ผมใฝ่ฝันอีกด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ทุนนี้ผมอาจจะต้องหยุดเรียนหนังสือเพื่อช่วยงานในครอบครัว แต่ตอนนี้ผมสามารถเรียนไปด้วยและทำงานควบคู่กันได้ เพื่อศึกษาหาความรู้ พร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อทำเป้าหมายในอนาคตของผมให้สำเร็จ” น้องดล กล่าว

ไม่ต่างจากน้องกิ๊ฟ นางสาวนภารัตน์ สารศิริ นักเรียนระดับชั้น ปวช.1 สาขาการโรงแรม วิทยาลัยเทคโนโลยีพังโคนพณิชยการ จ.สกลนคร บอกเล่าถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมว่า ตนเองมีความคิดว่าการเรียนสายอาชีพนั้นจะทำให้มีสายงานที่มั่นคง เนื่องจากสายอาชีพจะเน้นการเรียนภาคปฏิบัติกัน ซึ่งส่วนตัวตนเองอยากเรียนด้านการโรงแรม และตั้งใจที่จะทำงานด้านโรงแรม นอกจากนี้การได้เริ่มเรียนตั้งแต่ระดับชั้น ปวช. จะทำให้เกิดทักษะความรู้ ความชำนาญอย่างรวดเร็ว สามารถหาเลี้ยงชีพและประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น

“รู้สึกดีใจมากที่ได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิเอสซีจี การที่หนูได้มาเข้าร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศรับน้องใหม่ในครั้งนี้ ทำให้หนูได้รับความรู้ในหลายด้าน และยังได้เพื่อนใหม่จากสถาบันอื่น ซึ่งการที่ได้รับทุนในครั้งนี้ ทำให้หนูได้รับโอกาสทางการศึกษา ให้หนูได้เรียนการโรงแรมอย่างที่ฝันไว้ อีกทั้งได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากรุ่นพี่ ทำให้เรามีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น” น้องกิ๊ฟ กล่าว

ปิดท้ายที่ประธานรุ่นคนล่าสุด อย่างน้องบอล นายชนาธิป มั่นคง นักเรียนระดับชั้น ปวช.1 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง จ.อ่างทอง กล่าวถึงการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ว่า ตนเองได้เลือกเรียนต่อในสายอาชีวะ เพราะเชื่อว่าการเรียนสายนี้จะทำให้ได้ฝึกฝนจากประสบการณ์ตรง ได้ลงมือปฏิบัติจริงๆ และสามารถต่อยอดในการประกอบอาชีพได้เลยทันทีหลังจากเรียนจบ ซึ่งตนเองมีความชอบและรักในการทำอาหารอยู่ก่อนแล้ว จึงสนใจที่จะเรียนในสาขานี้ เพื่อนำความรู้ที่ได้นำไปประกอบอาชีพ และประกอบธุรกิจของตนเองได้ในอนาคต

“ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวมูลนิธิเอสซีจี แถมยังได้รับความไว้วางใจจากเพื่อน ๆ ให้เป็นประธานรุ่นอีกด้วย และผมยังได้รับมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตภายในรั้วอาชีวะจากรุ่นพี่ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำให้ผมมีแรงผลักดันรวมถึงแรงบันดาลใจในการมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อที่จะทำความฝันของผมให้เป็นจริง พร้อมกับนำแรงบันดาลใจที่ได้รับ รวมถึงความรู้จากการเรียนไปช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อีกด้วยครับ” น้องบอล กล่าว

เพราะประเทศไทยยังต้องการ ‘อาชีวะฝีมือชน’ ที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศในยุคไทยแลนด์ 4.0 และรอน้องๆ อาชีวะเหล่านี้ เติบโตเป็นคนเก่งและดี เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ และเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไปในอนาคต

“มูลนิธิเอสซีจี” ส่งต่อพลังใจสู่ “ผู้พิทักษ์ป่า” มอบทุนการศึกษาบุตร ลดความห่วงหน้า พะวงหลัง

“ผู้พิทักษ์ป่า” อาชีพที่ใครหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าเขาเหล่านี้ ต้องปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางความเสี่ยงและอันตรายมากเพียงใด เพื่อดูแลเเละปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้คงอยู่

จากข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประเทศไทยมีผืนป่ากว่า 102 ล้านไร่ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศไทย อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจำนวน 20,000 คน ซึ่งหมายถึง พื้นที่ป่ากว่า 5,000 ไร่ อยู่ภายใต้การดูแลของผู้พิทักษ์ป่าเพียง 1 คนเท่านั้น

เบื้องหน้า คือ ผืนป่าอันกว้างใหญ่ เบื้องหลัง คือ ครอบครัวที่ห่วงใย แม้จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักหน่วง บางครั้งอาจจะต้องเผชิญกับขบวนการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ โรคภัยไข้เจ็บสารพัด หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติและความดุร้ายของสัตว์ป่าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการทำหน้าที่ไปพร้อมกับความกังวลว่าใครจะดูแลลูกและครอบครัว แต่เขาเหล่านี้ยังคงเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฮีโร่อย่างเข้มแข็ง แม้จะตกอยู่ในภาวะ “ห่วงหน้า พะวงหลัง” ก็ตาม

เพื่อตอบแทนความทุ่มเท เสียสละทั้งเเรงกายเเรงใจของผู้พิทักษ์ป่า “มูลนิธิเอสซีจี” จึงมอบทุนการศึกษาเเก่บุตรผู้พิทักษ์ป่า ภายใต้ โครงการ “Sharing the Dream Scholarship โดยมูลนิธิเอสซีจี” ซึ่งเริ่มดำเนินการในปี 2558 เป็นปีแรก จนถึงปัจจุบันได้มอบทุนเเก่บุตรผู้พิทักษ์ป่าไปแล้ว 366 ทุน ใน 152 พื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งในปี 2561 นี้ นับเป็นปีที่ 4 ได้มอบทุนแก่บุตรผู้พิทักษ์ป่าอีกจำนวน 160 ทุน ใน 92 พื้นที่อนุรักษ์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้พิทักษ์ป่าให้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถโดยไม่ต้อง ‘ห่วงหน้า พะวงหลัง’ ต่อไป

“ทุนการศึกษาที่บุตรของผู้พิทักษ์ป่าได้รับนั้นเป็นทุนให้เปล่า ไม่มีภาระผูกพันต้องใช้คืน มูลนิธิเอสซีจีจะมอบให้ต่อเนื่องไปจนจบการศึกษา เรียกได้ว่าช่วยลดความกังวลให้กับผู้พิทักษ์ป่า ไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลัง สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่” ขจรเดช เเสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าว

“ถาวร ชูกรณ์” พนักงานพิทักษ์ป่า สำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า เล่าว่า จุดเริ่มต้นชีวิตผู้พิทักษ์ป่าของเขาเริ่มขึ้นเมื่อปี 2550 ในตำแหน่งพนักงานจ้างเหมาชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟป่า ในขณะนั้นทำหน้าที่ลาดตระเวนตรวจหาไฟป่าและควบคุมไฟป่า ตลอดระยะเวลา 7 ปี ปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเทมาโดยตลอด จนกระทั่งได้รับการบรรจุเป็นพนักงานราชการ ตำแหน่งพนักงานพิทักษ์ป่า สำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่าในปี 2557

ถาวรต้องปฏิบัติงานในพื้นยากลำบาก หน้าที่หลักของเขาคือการทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟไม่ให้ลุกลามต่อเนื่อง และเมื่อเกิดไฟป่าขึ้น ต้องควบคุมไฟและดับไฟให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง นับเป็นการปฏิบัติหน้าที่บนความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เขาก็ยังยืนหยัดที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้ เพราะต้องการจะปกป้องผืนป่าและทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสและชื่นชมต่อไป

11 ปี กับอาชีพผู้พิทักษ์ป่า ภารกิจที่ถาวรภูมิใจมากที่สุดคือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดับไฟป่าในพื้นที่ป่าพรุ จ. นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2555 ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไฟป่ามีความรุนแรง ลุกโหมกินพื้นที่กว่าพันไร่ เขาต้องแบกเครื่องสูบน้ำเข้าไปในป่าเป็นระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตรเพื่อดับไฟป่า และต้องอัดฉีดน้ำลงไปในดิน ให้น้ำซึมลงไปให้ลึกพอที่จะดับไฟได้ การดับไฟป่าในครั้งนี้ทำให้ถาวรต้องใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในป่านานกว่า 2 เดือน เลยทีเดียว

สิ่งที่ถาวรห่วงอยู่เสมอนอกเหนือจากการดูแลป่า คือการศึกษาของลูก

“รายได้ของผมตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะส่งลูกๆ เรียน ผมต้องทำงานกรีดยางเป็นอาชีพเสริม เพื่อสานฝันของพวกเขาให้เป็นจริง พอผมรู้ว่ามูลนิธิเอสซีจีให้ทุนการศึกษาลูกผม ทำให้ผมหายห่วง และมีกำลังใจทำงานต่อไป และบอกลูกเสมอว่าได้ทุนเรียนแล้ว ขอให้ตั้งใจเรียน เรียนให้เก่งๆ เมื่อโตขึ้นจะได้เป็นพยาบาลอย่างที่ลูกตั้งใจไว้” ถาวร กล่าว

ด.ญ.ทักษิณา ชูกรณ์ หรือ “น้องวิว” บุตรสาวคนโตของถาวร ปัจจุบันอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช หนึ่งในผู้รับทุนการศึกษาบุตรผู้พิทักษ์ป่า กล่าวว่า รู้สึกดีใจและตื้นตันใจที่มีคนมองเห็นความสำคัญของพ่อ ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ก่อนที่พ่อจะออกไปทำงานในป่าแต่ละครั้งจะยกมือไหว้ แม้จะไม่แสดงออกมาเป็นคำพูดว่ารักพ่อมากแค่ไหน แต่เมื่อพ่อกลับมาบ้านทุกครั้ง จะวิ่งเข้าไปกอดพ่อ ดีใจที่พ่อกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยทุกครั้ง

สำหรับความรู้สึกที่ได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้ รู้สึกดีใจและขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่เล็งเห็นความสำคัญของผู้พิทักษ์ป่า ตนเองในฐานะลูกจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ปัจจุบันเกรดเฉลี่ยอยู่ในระดับ 3.5 และมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นพยาบาล เพื่อจะได้ดูแลพ่อและแม่ในอนาคต

“เฉลิม ปิดกลาง” เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จ.ปราจีนบุรี บอกเล่าถึงการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ว่า ตนเองเป็นชาว ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา มีครอบครัวและลูก 2 คน เริ่มรับราชการเมื่อปี 2550 ในตำแหน่งพนักงานจ้างเหมาที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 5 ปี จึงได้ย้ายมารับตำแหน่งที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ต่อมาในปี 2557 ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานราชการในตำแหน่งผู้พิทักษ์ป่า

ตลอดอายุการทำงานกว่า 11 ปี เฉลิมเป็นผู้เสียสละและทุ่มเทแรงกายแรงใจในการทำงานอย่างเต็มที่มาโดยตลอด เหตุการณ์ที่ตอกย้ำความเสียสละในการทำงานของเขาคือ การกระโดดลงจากรถยนต์กระบะ เข้าขวางรถยนต์ของกลุ่มขบวนการลักลอบตัดและลำเลียงไม้พะยูงที่ ต.หนองยายพิมพ์ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เพื่อสกัดกั้นและจับกุม ตัวเฉลิมถูกรถยนต์คันดังกล่าวพุ่งชนจนร่างกระเด็น ส่วนรถยนต์คันที่พุ่งชนก็เร่งเครื่องหลบหนีไป แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็สามารถติดตามจับกุมกลุ่มผู้ร่วมขบวนการได้ 2 คน พร้อมรถยนต์กระบะ 1 คัน และไม้พะยูงแปรรูปซุกซ่อนอำพราง จำนวน 8 แผ่น จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ จนเพื่อนๆ และผู้บังคับบัญชาตั้งฉายาให้เป็น “เฉลิม คนบิน”

อีกสิ่งหนึ่งที่เฉลิมไม่เคยบกพร่อง คือ หน้าที่ของหัวหน้าครอบครัว เขาต้องดูแลลูก 2 คนและภรรยา นับเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

“เดือนหนึ่งๆ ผมเข้าป่า 26 วัน มีเวลาให้ครอบครัวแค่ 4 วัน ผมคิดถึงและห่วงพวกเขามาก ลูกๆ ก็ห่วงผมเช่นกัน เวลาที่ผมออกไปลาดตระเวนในป่าแต่ละครั้ง เขากลัวผมจะไม่ได้กลับมา เวลาที่ลูกป่วย เราเป็นพ่อเขาแท้ๆกลับไม่มีเวลาไปดูแลลูก เคยคิดถอดใจกับอาชีพนี้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ได้รับกำลังใจที่ดีจากภรรยา ผมจึงบอกกับลูกๆ เสมอว่ามันเป็นหน้าที่ที่พ่อต้องทำ ถ้าไม่ทำใครจะดูแลป่า ซึ่งผมรู้สึกดีใจมากที่มูลนิธิเอสซีจีเข้ามาช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับลูก ต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงคนข้างหลัง สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ ผมสอนลูกเสมอให้ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด อยากเห็นลูกได้เรียนสูงๆ มีอนาคตที่ดี” เฉลิม กล่าว

“โตขึ้นผมจะเป็นผู้พิทักษ์ป่าแบบพ่อ” นี่คือสิ่งที่ “น้องฟลุ๊ค” ด.ช วัชรชัย เพรชสาโย อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านซับใต้ จ.นครราชสีมา บุตรชายของ “เฉลิม คนบิน” หนึ่งในผู้รับทุนการศึกษาบุตรผู้พิทักษ์ป่า บอกถึงความมุ่งมั่นกับอาชีพที่เขาใฝ่ฝันในอนาคต นั่นคือการเดินตามรอยพ่อ ในอาชีพ “ผู้พิทักษ์ป่า” ด้วยความตั้งใจที่จะดูแลผืนป่า ซึ่งสิ่งที่น้องฟลุ๊คบอกมานั้น ทำเอาเฉลิม ผู้เป็นพ่อได้ฟังถึงกับภาคภูมิใจและตื้นตันใจอยู่ไม่น้อย และดีใจที่ลูกของตนมีความกล้าหาญและอยากสานต่ออาชีพของพ่อ ซึ่งเป็นอาชีพที่หลายคนมองว่าเสี่ยงและไม่มีใครนึกถึง

แม้จะเป็นอาชีพที่มุ่งมั่นในอนาคต แต่ปัจจุบัน “น้องฟลุ๊ค” บอกว่าสิ่งที่ตนสามารถทำได้นั่นคือ การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและทำหน้าที่ของตนเองในขณะนี้ให้ดีที่สุด ว่างจากการเรียน สิ่งที่จะทำเสมอคือการแบ่งเบางานบ้านเช่น ช่วยยายล้างจาน และเข้าป่าเลี้ยงวัวให้ตา “น้องฟลุ๊ค” ขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่มอบโอกาสที่ดีให้ ทำให้เขารู้สึกว่ายังมีคนมองเห็นคุณค่าของพ่อ “ฮีโร่” ที่เสียสละทำหน้าที่ในการดูแลผืนป่าที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ

“ยอด วงศ์ดวงคำ” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี เล่าถึงพื้นเพเดิมว่าเกิดที่ อ.ห้วยคต ต.ทองหลาง จ.อุทัยธานี ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ จึงตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งในปี 2547 ต่อมาในปี 2555 ได้รับการบรรจุเป็นพนักงานราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ด้วยการออกปฏิบัติการลาดตระเวน ตรวจปราบปราม ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าและการลักลอบล่าสัตว์ป่า นับเป็นงานที่เสี่ยงต่อชีวิต ทุกครั้งที่ยอดปฏิบัติงานลาดตระเวน เขาจับกุมผู้ลักลอบล่าสัตว์ป่าได้เสมอ จึงทำให้อัตราผู้ลักลอบล่าสัตว์ป่าลดลงอย่างต่อเนื่อง นับเป็นผลงานแห่งความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสัตว์ป่า

“ผมไม่เคยกลัว หรือ ท้อ ที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อต้องการปกป้องผืนป่า” นี่คือสิ่งที่ยอดกล่าว และสิ่งที่ตอกย้ำคำพูดของยอดได้ดี นั่นคือเหตุปะทะกับกลุ่มพรานป่าลักลอบล่าสัตว์เมื่อปี 2556 ซึ่งครั้งนั้นทำให้ยอดโดนกระสุนแฉลบเข้าบริเวณคางได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 2 ปี หลังจากหายเป็นปกติ ยอดได้กลับมาปฏิบัติงานที่เขารักอีกครั้ง เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ทำให้เขาคิดที่จะทิ้งอาชีพ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้เขาปฏิบัติงานต่อไป เพราะคำว่ารักในอาชีพนี้

“เวลาผมไปทำงาน ผมต้องเข้าป่าอย่างน้อยเดือนละ 15 วัน ผมเป็นห่วงและคิดถึงลูกๆ มาก เคยคิดหลายครั้งว่าถ้าหากผมเป็นอะไรขึ้นมาใครจะดูแลครอบครัวของผมโดยเฉพาะลูกๆ แต่พอรู้ว่ามูลนิธิเอสซีจีให้ทุนการศึกษาลูกผม ทำให้ผมหายห่วงและอุ่นใจ ที่อย่างน้อยยังมีคนเห็นคุณค่าและยื่นมือมาช่วยดูแลอนาคตของลูก” ยอด กล่าว
15 วันที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า กับ 10 วันที่ประจำการที่หน่วย เหลือเพียง 5 วันเท่านั้นที่ได้กลับมาหาครอบครัว แม้จะเป็นเวลาอันน้อยนิด แต่ยอดก็ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ด้วยการปลูกฝังให้ลูกๆ รักสัตว์ รักป่าเหมือนตนเองอยู่เสมอ และหวังว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่ดี ท่ามกลางภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่วัยชรา และดูแลลูกอีก 2 คน การที่ลูกได้รับทุนการศึกษาบุตรผู้พิทักษ์ป่าที่มูลนิธิเอสซีมอบให้ นับเป็นพลังใจอันสำคัญที่ทำให้เขายังคงยืนหยัดในการเป็นผู้พิทักษ์ป่าต่อไป ไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลังอย่างที่เคยเป็น

“ทุกครั้งที่พ่อเสร็จสิ้นจากภารกิจลาดตระเวนในป่ากลับมาบ้าน หนูจะใช้เวลากับพ่อเสมอ พ่อจะชอบสอนหนูทำการบ้าน ให้หนูอ่านหนังสือให้ฟังทุกเช้าและก่อนเข้านอน ดีใจที่พ่อกลับมาบ้าน เวลาพ่อเข้าป่าจะบอกพ่อทุกครั้งว่า ขอให้พ่อกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยนะ หนูรอพ่ออยู่” ด.ญ.อรจิรา วงศ์ดวงดำ “น้องโฟร์” บุตรสาวของยอด หนึ่งในผู้รับทุนการศึกษาบุตรผู้พิทักษ์ป่า กล่าวถึงความรู้สึกเมื่อเวลาพ่อออกไปปฏิบัติภารกิจในฐานะ “ผู้พิทักษ์ป่า”

ปัจจุบัน น้องโฟร์ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีความฝันอยากเป็นคุณหมอในอนาคต เมื่อมูลนิธิเอสซีจี มอบทุนการศึกษาให้ตน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเล่าเรียน ทุกวันนี้ตนพยายามตั้งใจเรียน ทำหน้าที่ของความเป็นลูกอย่างดีที่สุด ให้สมกับโอกาสดีๆ ที่มูลนิธิเอสซีจีหยิบยื่นให้ แม้ว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อน้อยกว่าเด็กๆ คนอื่นเขา แต่ตนก็ไม่เคยรู้สึกน้อยใจ กลับรู้สึกภูมิใจมากกว่าที่มีพ่อเป็นฮีโร่

“มูลนิธิเอสซีจี” ส่งหนังสั้น “Believe” สื่อกำลังใจถึง “ครูอาชีวะ” อนาคตที่มองหา เริ่มจาก ‘ครู’ ที่มองเห็น

มูลนิธิเอสซีจีส่งหนังสั้นเชิดชูครูอาชีวะ หวังสร้างความเข้าใจของคนในสังคมให้เล็งเห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของ “ครูอาชีวะ” ผ่านหนังสั้น “Believe” ภายใต้แนวคิด “อนาคตที่มองหา เริ่มจากครู ที่มองเห็น” เพื่อเผยแพร่ให้สังคมได้เห็นอีกแง่มุมที่งดงามของบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังของเหล่าอาชีวะฝีมือชนคุณภาพ รับชมพร้อมกันทั่วประเทศ 17 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป ทางยูทูปแชนแนล scgfoundation และเฟซบุ๊กแฟนเพจ อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ

โครงการอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี จัดงานเปิดตัวหนังสั้นเรื่อง “Believe” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ผ่านมุมมองสายตาของครูอาชีวะ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเชิดชู และเป็นกำลังใจให้กับครูอาชีวะในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญในการหล่อหลอมเยาวชน ให้กลายเป็นอาชีวะฝีมือชนที่มีคุณภาพ เป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประเทศต้องเตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่ยุค ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้ ภายในงานได้รับเกียรติจาก ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร และสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน ไม่เพียงการเปิดตัวหนังสั้นเรื่องใหม่จากมูลนิธิเอสซีจีเท่านั้น บนเวทียังมีการเสวนาในหัวข้อ “อนาคตที่มองหา เริ่มจากครูที่มองเห็น” โดย ดร.มงคลชัย สมอุดร ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรกรรมและประมง และศิษย์เก่าอาชีวะอย่าง อาร์ต – พศุตม์ บานแย้ม ร่วมด้วยตัวแทนนักเรียน และคุณครูอาชีวะ มาพูดคุยถึงหนังสั้น และแบ่งปันเรื่องราว ประสบการณ์ในฐานะครูและศิษย์อาชีวะ พร้อมทั้งการจัดนิทรรศการเรื่องราวของครูอาชีวะในดวงใจ ที่นักเรียนอาชีวะส่งเข้ามาจากทั่วประเทศ รวมถึงกิจกรรมพิเศษสุดประทับใจต่าง ๆ ณ ลานเอเทรียม 1 ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์

นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า นับแต่ปี พ.ศ. 2556 มูลนิธิเอสซีจีได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่สนใจศึกษาต่อด้านอาชีวะในสายช่างอุตสาหกรรม สายบริการและสายเกษตรกรรมภายใต้ โครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เรียนอาชีวะและเพื่อเสริมสร้างทัศนคติอันดีของสังคมที่มีต่อผู้เรียนและการเรียนอาชีวะ ด้วยมูลนิธิฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างบุคลากรในสาขาวิชาดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 เนื่องจากมูลนิธิฯ ตระหนักดีว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กอาชีวะ แต่พวกเขาคือฟันเฟืองที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ปัจจุบันนี้มูลนิธิฯ มีนักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ กว่า 1,500 คนทั่วประเทศ

“ในปีนี้ มูลนิธิฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนอาชีวะ ด้วยการนำเสนอและถ่ายทอดเรื่องราวรวมทั้งแง่คิดผ่านมุมมองของ “ครูอาชีวะ” สืบเนื่องจากพันธกิจหลักของมูลนิธิฯ ว่าด้วยการพัฒนาคน โดยมุ่งเน้นที่เด็กและเยาวชน เพราะมูลนิธิเอสซีจี ‘เชื่อมั่นในคุณค่าของคน’ จึง ‘เชื่อมั่นในคุณค่าของครู’ บุคคลผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมองเห็นศิษย์แตกต่างจากมุมมองของคนในสังคม โดยเชื่อว่าเด็กเหล่านี้ แท้จริงแล้วมีความสามารถมากมายที่รอการค้นพบ หลายครั้งที่เด็กๆ อาจจะยังไม่รู้ตัว แต่ครูกลับมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ชัดเจน จึงทำให้ครูมีบทบาทสำคัญใน การสั่งสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ เพื่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นอาชีวะฝีมือชนที่พร้อมพัฒนาประเทศต่อไป เป็นที่มาของหนังสั้นเรื่อง “Believe” ภายใต้แนวคิด “อนาคตที่มองหา เริ่มจากครูที่มองเห็น” เชื่อว่าหนังสั้นเรื่องนี้ จะเป็นพลังตอกย้ำให้ผู้ชมตระหนักถึงความสำคัญของครูอาชีวะ ในขณะเดียวกัน หนังสั้นเรื่องนี้จะเป็นการส่งกำลังใจ และคำขอบคุณไปยังครูอาชีวะ เพื่อให้ครูอาชีวะได้เกิดความภาคภูมิใจ เล็งเห็นคุณค่าในตัวเอง และไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อพัฒนาเด็กต่อไป” นายขจรเดช กล่าว

ด้าน นายวิทิต คำสระแก้ว ผู้กำกับหนังสั้น “Believe” เล่าให้ฟังถึงการนำเสนอเนื้อหาของหนังสั้นเรื่องนี้ ว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ครู” ผู้สร้างเด็กอาชีวะ โดยมองว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่สำคัญ แต่กลับไม่ค่อยมีคนอยากเป็นครู เพราะภาพจำของหลายคนในสังคมที่มีต่อครู มีอยู่ 2 อย่าง คือผู้เสียสละและเป็นเรือจ้างที่เหนื่อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ครูกลับเป็นผู้ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้ โดยการใช้วิธีการต่าง ๆ ในการสอนเพื่อผลักดันให้เด็กมีอนาคตที่ดี สอนด้วยความรัก สอนด้วยพลังมุ่งมั่นที่อยากจะปั้นเด็กให้ดี

“มูลนิธิฯ และทีมผู้สร้างได้หารือกันตลอดกว่าจะมาเป็นหนังสั้นเรื่องนี้ พวกเรามองว่าเด็กอาชีวะก็เหมือนกับเด็กทั่วไป แต่สังคมไทยติดภาพที่มองเด็กอาชีวะว่าเป็นเด็กเกเร แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่เลือกเรียนในสิ่งที่เน้นการลงมือทำ และรักครูที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชมากกว่าเป็นครู มีความเข้าใจในตัวพวกเขา หนังตั้งใจจะสื่อสารให้คนในสังคมเห็นว่า จริงๆแล้วในโรงเรียนอาชีวะ มีครูที่พร้อมจะผลักดันและคอยสนับสนุนเด็กอีกเยอะมาก ครูที่มองเห็นอนาคต ของเด็กและคอยพัฒนาให้พวกเขาเติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพ

นอกจากนี้ ในฐานะผู้กำกับ เราจะทำหนังรูปแบบไหนก็ได้ แต่สำหรับผมหนังเป็นมากกว่าความบันเทิง ผมมองว่าหนังที่มีเนื้อหาที่พูดถึงสังคม จะค่อยๆผลักดันให้คนดูคิดและตั้งคำถาม ใคร่ครวญมากขึ้น ถามตัวเองมากขึ้นว่า เราจะสะท้อนและเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นอย่างไรจากสิ่งที่เราทำ เพราะหนังแบบนี้ไม่ใช่การขายของ แต่เป็นการนำเสนอเรื่องราวและคุณค่าบางอย่างให้สังคมได้รู้ เราเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่เราช่วยกันทำทีละเล็กทีละน้อยให้มันดีขึ้นได้” นายวิทิต กล่าว

ทั้งนี้ หนังสั้น เรื่อง “Believe” โดยมูลนิธิเอสซีจี จะเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป ผ่านทางยูทูปแชนแนล scgfoundation และเฟซบุ๊กแฟนเพจ อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ

มูลนิธิเอสซีจี มุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่พัฒนาศักยภาพต้นกล้าชุมชนด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ด้วยความเชื่อว่า ไม่มีการสร้างใด จะยั่งยืนไปกว่าการสร้าง ‘คน’ มูลนิธิเอสซีจี จึงส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้กลับมาพัฒนาบ้านเกิด พัฒนาชุมชนในหลากหลายมิติ ทั้งด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการ ต้นกล้าชุมชน มาตั้งแต่ปี 2559 เพื่อมุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญในการดูแล และพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมูลนิธิเอสซีจี ได้ให้การสนับสนุน เบี้ยยังชีพ และค่าดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ให้แก่ต้นกล้าเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีพี่เลี้ยงนักพัฒนารุ่นพี่ ผู้มากประสบการณ์ในพื้นที่เป็นผู้ชี้แนะแนวทางการทำงานชุมชนทั้งภาคสนามและภาคทฤษฎี โดยตลอดระยะเวลา 3 ปี มูลนิธิฯ ยังได้จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพต้นกล้าโดยนอกจากจะเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขามาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับน้องๆ ต้นกล้าแล้ว ยังจัดให้น้องๆ ต้นกล้าได้เดินทางไปศึกษาดูงานการทำงานชุมชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเสริมประสบการณ์ พร้อมสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกัน ปัจจุบันมีต้นกล้าชุมชนกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ

ครั้งนี้มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพต้นกล้าชุมชน โดยพาน้องๆ ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2 และพี่เลี้ยงฯ รวม 44 คน ร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานยังจังหวัดลำปาง ลำพูน และเชียงใหม่ โดยได้รับเกียรติจาก Mr. Tadashi Uchida President of International OVOP Exchange Committee และทีม ลงพื้นที่ชุมชนเพื่อช่วยชี้แนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ตามแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ต้นกล้าและพี่เลี้ยงฯ นำไปปรับใช้ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนของตนให้แตกต่างอย่างสร้างสรรค์ น่าสนใจ มีเรื่องราว นำเสนอจุดแข็ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังได้ศึกษาดูงานจากชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านใต้ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง และ ชุมชนโหล่งฮิมคาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ รวมถึงเยี่ยมชมตลาดประชารัฐของดีจังหวัด ณ ลานพุทธามหาชัย อ.แม่ทา จ.ลำพูน ตลาดที่เพิ่งเปิดดำเนินการด้วยแรงผลักดันจากต้นกล้าหญิง พฤติพร จินา ต้นกล้าชุมชนรุ่นที่ 2 ที่ได้แรงบันดาลใจในการทำตลาดจากการที่มูลนิธิฯพาไปดูงานที่โอย่าม่าแลนด์ที่ญี่ปุ่น แล้วน้องๆ ต้นกล้าจากทุกภาคยังได้นำผลิตภัณฑ์ชุมชนมานำเสนอเพื่อขอคำแนะนำ และล้อมวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันจนเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เสริมสร้างการทำงานภาคสังคมที่เข้มแข็งต่อไปในอนาคต

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการพัฒนาศักยภาพต้นกล้าชุมชนว่า “มูลนิธิเอสซีจีตระหนักดีว่า ต้นกล้าชุมชน จะเติบโตและแข็งแรงได้นั้น ต้องได้รับการพัฒนาที่เหมาะสม การจัดให้มีกิจกรรมพัฒนาศักยภาพน้องๆ ต้นกล้าในมิติต่างๆ ทั้งการเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศทั้งที่เมืองฮอกไกโด และเมืองโออิตะ เพื่อศึกษาดูงาน OVOP หรือโอทอป และการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศอย่าง Mr. Tadashi Uchida และทีม ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการขับเคลื่อนพัฒนา และยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนจากประเทศญี่ปุ่น ให้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อให้กับน้องๆ ต้นกล้าได้เปิดประสบการณ์ แนวคิด และมุมมองใหม่ๆ เพราะเราเชื่อว่าการได้สัมผัสประสบการณ์จริงย่อมมีคุณค่าและสร้างแรงแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ต้นกล้าตลอดจนพี่เลี้ยงได้นำกลับไปปรับใช้ตามความเหมาะสมของชุมชนตนเอง ถือเป็นเครื่องมือในการเสริมศักยภาพความเข้มแข็งอย่างสมดุลและยั่งยืน”

ด้าน Mr. Tadashi Uchida, President of International OVOP Exchange Committee กล่าวถึงการเดินทางมาให้คำแนะนำน้องๆ ต้นกล้าชุมชนในครั้งนี้ว่า “หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ One Village One Product (OVOP) มีความใกล้เคียงกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นอย่างมาก คือ เริ่มจากการทำสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ที่สามารถทำด้วยตนเอง แล้วใส่พลังความคิดสร้างสรรค์และความพยายามอย่างต่อเนื่อง ทำงานอย่างกระตือรือร้น กล้าหาญ และวิริยะอุสาหะ ผมจึงเชื่อว่าน้องๆ ต้นกล้าสามารถทำได้แน่นอน ดังนั้น ภารกิจของพวกเราก็คือการให้คำแนะนำ มอบความมั่นใจและให้ความหวังแก่น้องๆ ต้นกล้า พี่เลี้ยงฯ และชุมชนที่เราไปเยี่ยมชม เพื่อให้เขาสามารถพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์ โดยเน้นให้ความสำคัญกับคุณค่าของจิตใจ มากกว่าคุณค่าของเงิน และเมื่อพวกเขาสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีความภาคภูมิใจ และมีเกียรติ ก็จะส่งผลให้ชุมชนมีเสถียรภาพและความยั่งยืนในระยะยาว ทำให้คนหนุ่มสาวไม่อยากละทิ้งบ้านไปทำงานในเมืองและใช้ชีวิตอย่างผาสุกในชุมชน”

ต้นกล้าหญิง พฤติพร จินา ต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 2 เจ้าของโครงการสืบสานพันธุกรรมท้องถิ่นเพื่อความมั่นคงทางอาหาร จ.ลำพูน กล่าวถึงความประทับใจในกิจกรรมพัฒนาศักยภาพต้นกล้าครั้งนี้ว่า “ในส่วนตัวในของหญิงเอง หญิงได้พลังเป็นอย่างมากจากคำแนะนำทั้งจากคุณอูชิดะ และพี่เลี้ยงฯ การที่มีคนข้างนอกเข้ามาในพื้นที่ ทุกคำติชม กับสิ่งที่บอกพวกเราว่า ทำดีแล้ว ทำถูกต้องแล้ว ปรับปรุงบ้างในบางประเด็นอีกนิดหน่อย มันเป็นการช่วยยืนยันและยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับเราทุกคน หญิงคิดว่าความทรงจำแบบนี้ มันให้แรงบันดาลใจ มากกว่าการดูจากภาพ หรือเล่าให้ฟัง แต่การพาไปเจอและได้สัมผัส ทำให้เราได้คิดทบทวนแล้วนำกลับไปปรับใช้ ถือเป็นโอกาสอันดี ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีมาก หญิงมองว่ามันเป็นบันไดขั้นแรกในการต่อยอดสู่ความสำเร็จสำหรับการเริ่มต้นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์พัฒนาชุมชนต่อไป”

ด้านบรรจง นะแส ที่ปรึกษาสมาคมรักษ์ทะเลไทย นักพัฒนารุ่นพี่กล่าวเสริมว่า “สำหรับการมาศึกษาดูงานในครั้งนี้ พี่ว่ามันมีความสมบูรณ์ คือเราได้ดูงานในพื้นที่จริง ทั้งร้านอาหาร กิ๊ฟท์ช้อป ร้านผักอินทรีย์ ทำให้น้องๆ ต้นกล้าที่ยังไม่เห็นภาพการทำงาน ยังมีความลังเล ได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เธอสามารถทำได้ ฉันก็ต้องทำได้ การดูงานในพื้นที่จริง ทำให้เห็น ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ส่วนวิทยากรที่เดินทางมาจากญี่ปุ่นเพื่อลงพื้นที่ชุมชนในครั้งนี้ ทำให้พวกเราได้รับคำแนะนำดีๆ จากเขาหลายๆ เรื่อง อย่างเรื่องสินค้าที่ดีและมีคุณภาพต้องมีอะไรบ้าง เช่น การอธิบายเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ในรูปแบบที่ตลาดต้องการ หลักการตลาด ฟังเขาพูดในหลายมิติ สิ่งที่พี่ชอบมากครั้งนี้คือที่เขาบอกว่าการตลาดที่ดีที่สุด คือ ปากต่อปาก บางทีเราก็ละเลยอะไรตรงนี้ไป ทำอย่างไรให้คนมาเห็นแล้วพูดถึง คิดถึง พี่ว่ากิจกรรมครั้งนี้สมบูรณ์และมีประโยชน์ ถือเป็นคุณูปการแก่นักพัฒนารุ่นใหม่อย่างแท้จริง”

มูลนิธิเอสซีจีภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ เพราะไม่ใช่เพียงต้นกล้า เหล่านี้จะมีอาชีพเป็นของตัวเอง แต่ยังสามารถสร้างอาชีพ กระจายรายได้ให้คนในชุมชน ได้ทำงานใน บ้านเกิด ส่งผลให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่ทิ้งรากเหง้าและวิถีชีวิตอันงดงามของตัวเองไป เราหวังว่าโครงการต้นกล้าชุมชนจะจุดประกายให้เมล็ดพันธุ์นักพัฒนารุ่นใหม่ได้เติบโต หยั่งราก และตั้งมั่น ในการรับใช้บ้านเกิดของตนเองต่อไป

มูลนิธิเอสซีจี “เชื่อมั่นในคุณค่าของคน”

สานพลังสังคมเปิดโครงการ “HANDS FOR HEROES” รวมมือเรา เพื่อคนเฝ้าป่า

วันที่ 2 มิถุนายน 2561 – มูลนิธิเอสซีจี ผนึกความร่วมมือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บจก.ทีวีบูรพา พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ร่วมเปิดโครงการ “HANDS FOR HEROES” รวมมือเรา เพื่อคนเฝ้าป่า เพื่อจุดประกายให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของผู้พิทักษ์ป่าพร้อมสนับสนุนการทำงาน เละส่งแรงใจให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ต้อง “ห่วงหน้า พะวงหลัง” ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี โดยนำร่องกิจกรรมแรก “Paint for Heroes” เปิดโอกาสให้คนภายนอกได้ร่วมเพ้นท์ เละประมูลเสื้อเพ้นท์จากฝีมือของศิลปิน ดารา ผู้คร่ำหวอดในแวดวงสายป่า เพื่อสมทบทุนจัดซื้อชุดอุปกรณ์ลาดตระเวนให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ซึ่งจัดขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

สำหรับผู้สนใจร่วมเป็นอีกหนึ่งมือเพื่อคนเฝ้าป่า สามารถติดตามข้อมูล ข่าวสาร รายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ของโครงการ “HANDS FOR HEROES” ผ่านทางเฟซบุ๊ก แฟนเพจ “HANDS FOR HEROES” หรือ https://www.facebook.com/handsforheroes/

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ มูลนิธิเอสซีจี โทร 0 2586 4177 หรือ 0 2586 5506
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น จำกัด โทร. 0 2354 3588 www.incom.co.th
อุษณีย์ ถาวรกาญจน์ โทร.081 984 5500

Young Thai Artist Award โดย มูลนิธิเอสซีจี

ศิลปะ คือ ความงดงามและคุณค่าจรรโลงสังคม เติมเต็มหล่อเลี้ยงชุบชูชีวิตให้มีความสมบูรณ์ นอกจากนั้นศิลปะยังทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ บริบทสังคมในยุคสมัยนั้นๆ ไว้ให้ได้ศึกษาเรียนรู้ เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาล้วนมีศิลปะอยู่ในหัวใจ มูลนิธิเอสซีจีจึงดำเนิน โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย หรือ Young Thai Artist Award รางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เวทีการประกวดศิลปะระดับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ หนึ่งพื้นที่สำคัญที่เปิดโอกาสให้เยาวชนผู้รักงานศิลป์อายุ 18 – 25 ปีจากทั่วประเทศส่งผลงานสร้างสรรค์เข้าประชันเชิงชั้นด้านศิลปะถึง 6 สาขาได้แก่ สาขาศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี ถือเป็นเวทีแห่งการเจียระไนเพชรน้ำงาม สร้างศิลปินรุ่นเยาว์ให้เติบโตบนเส้นทางศิลปะ ซึ่งการันตีคุณภาพด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นที่ยอมรับมากว่าหนึ่งทศวรรษ

“ศิลปะ มิใช่จะมีอยู่เพื่อให้ชื่นชมความงามเท่านั้น หากยังมีอยู่เพื่อจรรโลงสังคม และประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าด้านความคิดและจิตใจอีกด้วย มูลนิธิฯ จึงได้ให้การสนับสนุนพัฒนาศักยภาพของเยาวชนที่มีความสามารถด้านศิลปะ โดยริเริ่มโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย มาตั้่งแต่ปี 2547 เพื่อให้เป็นเวทีแห่งโอกาสในการสานฝันสำหรับเยาวชนผู้รักงานศิลปะจากทั่วประเทศ โดยน้องๆ ยุวศิลปินผู้ได้รับรางวัล ยอดเยี่ยมในแต่ละสาขานั้น นอกจากจะได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งถือเป็นรางวัลเกียรติยศและความภาคภูมิใจแล้ว ยังจะได้รับเงินรางวัลอีก 150,000 บาท รวมถึงโอกาสเดินทางทัศนศึกษาต่างประเทศ เพื่อชมเมืองศิลปะ งานศิลป์ในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ เทศกาลศิลปะที่สำคัญ ตลอดจนผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าจากศิลปินระดับโลก เพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้ สร้างแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานศิลปะต่อไป และสำหรับผู้ได้รับรางวัลดีเด่นในแต่ละสาขาจะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท โดยผลงานทั้งหมดที่ได้รับรางวัลจะนำไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ และสัญจรไปจัดแสดงในหอศิลป์ที่เป็นเมืองศิลปะในส่วนภูมิภาค ถือเป็นใบเบิกทางสู่การก้าวเป็นยุวศิลปินไทย เป็นดาวดวงใหม่แห่งวงการศิลปะที่น้องๆ ไม่ควรพลาด” สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าว

ตลอดระยะเวลา 14 ปี มูลนิธิฯ ได้มุ่งพัฒนาส่งเสริมให้เวทีการประกวดศิลปะเวทีนี้เป็นพื้นที่แห่งการบ่มเพาะสร้างยุวศิลปินเลือดใหม่มาประดับวงการศิลปะ จนประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงทั้งในประเทศและเวทีโลกมากมายหลายคน อาทิ ลี้ จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุทร นักเขียนซีไรต์ที่อายุน้อยที่สุด ได้เล่าถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมประกวดในโครงการนี้ว่า “ก่อนจะส่งผลงานประกวดเวทีรางวัลยุวศิลปินไทย ลี้เคยส่งประกวดมาแล้วหลายเวที แต่ส่วนมากเป็นเรื่องสั้น ส่งเรื่องเดียวจบ แต่สำหรับเวทีนี้ถ้าจะส่งประกวดเรื่องสั้นต้องส่งต้นฉบับอย่างน้อย 8 เรื่อง ถือเป็นความท้าทายที่ทำให้อยากร่วมประกวด นอกจากนี้ลี้ก็เห็นว่าเวทีนี้มีการจำกัดอายุเฉพาะเยาวชนด้วยกัน ไม่ได้มีคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างนักเขียนมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากๆ มาลงสนาม ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่แห่งโอกาสสำหรับเยาวชนอย่างแท้จริง ลี้ได้รับรางวัลดีเด่น สาขาวรรณกรรม จากโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย ประจำปี 2556 และ 2559 จากผลงานรวมเรื่องสั้น และนวนิยาย การได้รับรางวัลทั้งสองครั้งมอบความประทับใจให้กับลี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากรางวัลแล้ว เวทีนี้ยังเปิดโอกาสให้ผลงานวรรณกรรมของลี้ไปจัดแสดงในรูปแบบนิทรรศการอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และหาไม่ได้ในเวทีประกวดอื่น ซึ่งหลังจากได้รับรางวัลแล้ว ลี้ก็มองหาก้าวต่อไปในการพัฒนาฝีมือด้วยการส่งผลงานเข้าประกวดรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด จนได้รับรางวัลชนะเลิศในประเภทเรื่องสั้น จึงได้รับโอกาสรวบรวมเรื่องสั้นตีพิมพ์ชื่อ “สิงโตนอกคอก” ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (S.E.A. Write) ประจำปี 2560 ลี้มาถึงวันนี้ได้ต้องขอขอบคุณโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย ที่ถือเป็นประตูแห่งโอกาสบานหนึ่งที่ผลักดันส่งเสริมให้นักเขียนรุ่นใหม่ที่มีกลวิธีการเขียนที่หลากหลาย แปลกใหม่ ได้แจ้งเกิดในวงการวรรณกรรมไทยเป็นนักเขียนมืออาชีพ”

ด้าน เอก เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์ ผู้กำกับภาพยนตร์เลือดใหม่ คนไทยเพียงคนเดียวที่ผลงานของเขาได้รับคัดเลือกไปฉายและเข้าประกวดสาขาหนังสั้นในเทศกาล Winter Film Awards ณ เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กล่าวเสริมว่า “สาเหตุที่ตัดสินใจเข้าร่วมประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทยนี้เพราะเป็น เวทีที่น่าสนใจ รุ่นพี่ที่เป็นผู้กำกับดังหลายคนอย่าง พี่เมษ ธราธร พี่นุชี่ อนุชา บุญยวรรธนะ ล้วนแจ้งเกิดจากเวทีนี้ ตอนส่งก็แอบหวังว่าผลงานของเราจะได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการ พอประกาศผลว่าหนังสั้น เรื่อง “ฝน” ของผมได้รับรางวัลยอดเยี่ยม สาขาภาพยนตร์ ประจำปี 2558 ผมก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ เพราะการได้รับรางวัลถือเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือได้เป็นอย่างดี และยังเป็นแรงกระตุ้น เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงให้ผมมีเรี่ยวแรงสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ซึ่งในปี 2561 ผมได้ส่งหนังสั้นของผมเรื่องนี้ไปร่วมคัดเลือกเพื่อเข้าฉายและประกวดในเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ในงานเทศกาล Winter Film Awards 2018 ณ เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งในเทศกาลนี้มีผลงานภาพยนตร์เข้าร่วมประกวดกว่า 650 เรื่องจากทั่วโลก มีเพียง 100 เรื่องเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าฉายในประเภทต่างๆ ได้แก่ แอนิเมชัน สารคดี หนังยาว หนังสั้น และมิวสิควิดีโอ ซึ่งหนังของผมได้ผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 4 เรื่องที่ให้เข้าฉายและร่วมประกวดหนังสั้นยอดเยี่ยม สาขานักศึกษา ซึ่งมูลนิธิเอสซีจีได้ให้การสนับสนุนต่อยอดให้ผมเดินทางนำภาพยนตร์ไปฉายในครั้งนี้ แม้ผมจะไม่ได้รับรางวัลกลับมา แต่ก็ได้รับโอกาสและประสบการณ์ที่น่าจดจำ เพราะได้รู้จักกับผู้สร้างภาพยนตร์ ผู้กำกับหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้เปิดมุมมองใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งผมจะนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาสร้างหนังสารคดีของตัวเองต่อไป”

ในปี 2561 นี้ เวทีประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทยก็กำลังเฟ้นหาดาวดวงใหม่ที่มีฝีมือความสามารถ และศักยภาพด้านศิลปะในการสร้างสรรค์ผลงาน ลี้ จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุทร รุ่นพี่ที่แจ้งเกิดจากเวทีนี้จึงขอเชิญชวนน้องๆ ให้ส่งผลงานเข้าประกวดว่า “เหตุผลที่น้องๆ ควรตัดสินใจเข้าร่วมประกวดโครงการนี้ ข้อที่หนึ่งคือรางวัลของเวทีนี้ที่สูงกว่าการประกวดวรรณกรรมเวทีอื่นๆ สองคือการแข่งขัน เวทีนี้เป็นระดับเยาวชน ถ้าคุณอายุไม่เกิน 25 ปี คุณควรจะส่งประกวดเวทีนี้ และสามนี่คือโอกาสที่ผลงานของคุณจะได้เข้าไปอยู่ในสายตาของกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขา กรรมการแต่ละคนจะได้ชมภาพของคุณ ดูหนังของคุณ ฟังเพลงของคุณ อ่านงานของคุณ เราว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าทางจิตใจ และเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ”

ด้าน เอก เอกพงษ์ สราญเศรษฐ์ ก็เชิญชวนน้องๆ ให้ร่วมประกวดในปีนี้ว่า “ส่งกันเถอะครับไม่มีอะไรเสียหาย มันจะเป็นประตูบานหนึ่งที่นำไปสู่ประตูอีกหลายๆ บานในอนาคตของเรา ไม่อยากให้หลายคนปิดกั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม โอกาสเป็นของคนที่วิ่งเข้าหา และการพาตัวเองไปสู่เส้นทางความสำเร็จเสมอ”

น้องๆ เยาวชนที่สนใจแจ้งเกิดในวงการศิลปะในฐานะยุวศิลปิน แพ็คไอเดียศิลป์ให้เต็มกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปลุยกันเลย ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.scgfoundation.org หรือโทร. สอบถามได้ที่ 02 586 2042 ออกเดินทาง สร้างสรรค์งานศิลป์ได้ตั้งแต่วันนี้ – กรกฎาคม 2561 สนใจติดตามความเคลื่อนไหว คลิก www.facebook.com/YoungThaiArtistAward

จิตอาสาอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี ร่วมทำความดี ประกอบรถเข็นเพื่อผู้พิการ

ด้วยเชื่อมั่นว่าสังคมที่มีคุณภาพ ย่อมต้องประกอบไปด้วยคน “เก่งและดี” มูลนิธิเอสซีจีเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนา “คน” จึงมุ่งมั่นเสริมสร้างและปลูกฝังให้นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ ได้พัฒนาตนเองทั้งด้านทักษะฝีมือควบคู่ไปกับการนำความรู้ที่เรียนไปทำประโยชน์เพื่อสังคม ผ่านกิจกรรม จิตอาสาที่หลากหลายและต่อเนื่องมากว่า 5 ปี

ล่าสุด มูลนิธิเอสซีจีได้นำตัวแทนนักเรียนทุนฯ ในระดับชั้น ปวช.ปี 2 จากทั่วประเทศ มาร่วมแรงร่วมใจใช้ความรู้ความสามารถร่วมประกอบรถเข็นสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวจำนวน 10 ตัว เพื่อส่งมอบให้แก่มูลนิธิคนพิการไทย จ.นนทบุรี สร้างความประทับใจและปลาบปลื้มใจให้กับน้องๆ นักเรียนทุนฯ เป็นอย่างมาก

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “มูลนิธิเอสซีจีส่งเสริมให้นักเรียนทุนฯ ทุกคนเป็นคนที่มีจิตอาสา นำความรู้ความสามารถมาทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ผ่านกิจกรรมอาชีวะฝีมือชน คนทำดี โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมจิตอาสามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรมทำฝาย กิจกรรมเก็บขยะ ทำบ้านปลา กิจกรรม Fix It Center กิจกรรมซ่อมแซม ทาสี อาคารและสนามเด็กเล่นตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงวัดและโรงเรียนในถิ่นที่อยู่ห่างไกล และในครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้นำนักเรียนทุนฯ จากหลากหลายสาขาวิชาไม่ว่าจะเป็นสาขาช่างอุตสาหกรรม สาขาบริการ มาร่วมกันประกอบรถเข็นสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวแบบมาตรฐานจำนวน 10 ตัว มอบให้แก่มูลนิธิคนพิการไทย จ.นนทุบรี ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้พิการทางการเคลื่อนไหวได้อีกจำนวนมาก และการทำกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังส่งเสริมให้นักเรียนทุนฯ ได้ลองฝึกความคิด พร้อมแชร์ไอเดียใหม่ๆ เพื่อนำไปพัฒนารถเข็นคนพิการ ให้มีความเหมาะสมและมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น

มูลนิธิฯ พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนในการทำความดีของน้องๆ เพราะเราเชื่อว่า นักเรียนทุนฯ ทุกคนมีความตั้งใจที่ดี การมีจิตอาสาเป็นเรื่องที่ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เริ่มได้ทันทีที่ตัวน้องๆ เอง การทำกิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการจุดประกายให้แก่น้องทุกคน ซึ่งเราหวังว่าน้องๆ จะนำความรู้ที่ได้จากการทำจิตอาสาในครั้งนี้ ไปพัฒนาต่อยอดการทำความดีอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” สุวิมล กล่าว

ลองมาคุยกับหนึ่งในนักเรียนทุนฯ ที่มาร่วมกิจกรรมอย่าง น้อย – นายปารเมศ สายสุทธิ ปวช.2 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยเทคโนโลยีพงษ์สวัสดิ์ กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการทำกิจกรรมจิตอาสาว่า นอกจากทุนการศึกษาที่ได้รับ ยังได้รับประสบการณ์ที่ดีมากมาย เมื่อมีโอกาสจึงอยากจะเป็นผู้ให้บ้าง ซึ่งนอกจากกิจกรรมนี้ ยังมีโอกาสทำกิจกรรมจิตอาสามากมายที่เคยทำมาก่อน เช่น วิทยาลัยจะมีกิจกรรมออกแนะแนวการทำอาหารตามโรงเรียนต่างๆ สอนทำเค้กส้ม ทำซูชิ เพื่อเป็นการสาธิต พร้อมแนะแนวอาชีพให้น้องๆ หรือบางครั้งก็ไปทำอาหารเลี้ยงเด็กๆ ที่บ้านเด็กกำพร้า

“ผมอยากมอบอะไรกลับคืนให้สังคมบ้าง ผมดีใจที่ได้มาทำรถเข็นให้ผู้พิการในครั้งนี้ กิจกรรมนี้ทำให้เรารู้ว่ายังมีผู้พิการทางการเคลื่อนไหวจำนวนมากที่มีรายได้น้อย อยู่ไกล และไม่สามารถเข้าถึงบริการรถเข็น ผมก็หวังว่ารถเข็นที่ผมและเพื่อนๆ ได้ประกอบไป จะช่วยพวกเขาให้สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้เช่นคนปกติ ลดภาระครอบครัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” น้องน้อย กล่าว

ไม่ต่างจาก อ๋อม – นางสาวญาณิศา โยธาภักดี ปวช.2 สาขาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคโนโลยีไทย-วิจิตรศิลป์ เล่าถึงจุดประสงค์ที่เข้าร่วมกิจกรรมว่า

“การทำกิจกรรมจิตอาสาแบบนี้ทำให้เราได้รับความสุขจากการที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น โดยก่อนหน้านี้หนูก็มีโอกาสได้ทำกิจกรรมจิตอาสากับวิทยาลัย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการนำสิ่งของที่เราทำเองไปมอบให้เด็กๆ ตามสถานเลี้ยงเด็กหรือมูลนิธิต่างๆ ทุกครั้งที่หนูได้ลงมือทำ หนูจะตั้งใจและทำออกมาให้ดีที่สุด สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเข้าร่วมหกิจกรรมและ ลงมือทำอย่างเดียว แต่มันคือการที่เราใส่ใจลงไปในทุกๆ รายละเอียด และสิ่งที่เราได้รับกลับมานั้นก็คือความสุขที่ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน ขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่จัดกิจกรรมจิตอาสาดีๆ แบบนี้ค่ะ” น้องอ๋อม กล่าว

ประกอบรถเข็นให้กับผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ซึ่งรถเข็นที่พวกผมได้ร่วมกันทำนั้น จะนำไปบริจาคให้กับผู้พิการที่มีความจำเป็นต้องใช้รถเข็นต่อไป”

“ปกติแล้วผมเป็นคนขี้อายมากครับ แต่ผมก็พยายามกำจัดความขี้อายนั้นออกไป แล้วเดินหน้าทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น นอกจากนี้ยังทำให้ผมได้เพื่อนและมิตรภาพที่ดีมากๆ ที่เกิดจากการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และผมตั้งใจจะทำความดีต่อไป อย่างน้อยเราก็สามารถเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้” น้องก๊อต กล่าว

ปิดท้ายที่ จ๊ะเอ๋ – นางสาวศิรินทร์ทิพย์ นามวงษ์ ปวช.2 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย กล่าวถึงการเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ว่า ที่เลือกเข้าร่วมกิจกรรมอาชีวะฝีมือชน คนทำดี เพราะอยากทำกิจกรรมจิตอาสาในหลากหลายรูปแบบ ในครั้งนี้นอกจากจะได้รับความรู้แล้ว ยังได้เรียนรู้เรื่องความสามัคคีในกลุ่มด้วย ได้ช่วยกันประกอบรถเข็นเพื่อผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่เราต้องลงแรงช่วยกันถึงจะประกอบได้สำเร็จ

“รู้สึกดีใจที่ตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ อยากให้เพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนทุน หรือคนอื่นๆ ช่วยกันทำความดี เพราะการทำดีแบบไม่ต้องใช้เงินก็มี เราสามารถนำความรู้ความสามารถของเราไปช่วยเหลือคนอื่นได้ หนูจึงอยากให้ทุกคนช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส สังคมของเราจะได้น่าอยู่ขึ้น ครั้งหน้าถ้ามูลนิธิเอสซีจีจัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้อีก หนูก็จะมาเข้าร่วมด้วยทุกครั้งค่ะ” น้องจ๊ะเอ๋ กล่าวทิ้งท้าย

นี่คืออีกหนึ่งกิจกรรมที่มูลนิธิฯ หวังว่าการที่น้องๆ ได้มาทำเรื่องราวดีๆ เพื่อสังคมจะติดตรึงอยู่ในใจน้องๆ อย่างน้อยก็จะได้ค้นพบว่าการทำความดีเป็นเรื่องที่ดีงาม ทำได้ไม่ยาก และทำได้ทุกที่ทุกเวลา มูลนิธิฯ เชื่อว่าสังคมต้องการคน ‘เก่งและดี’ ที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความเสียสละอีกมาก และก่อนที่น้องๆ อาชีวะฝีมือชนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาควรจะมีจิตอาสา นึกถึงผู้อื่น และลงมือทำสิ่งดีเพื่อผู้อื่นตามกำลังความสามารถของตนติดตัวตลอดไป

สอบถามข้อมูลข่าวเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท เอ็กซ์ตราวาแกนซ่า พีอาร์ จำกัด คุณกิตติพงษ์ สัจจพลากร (เอ็กซ์) โทร. 08 2498 8842, 06 2639 9794

มูลนิธิเอสซีจีชวนน้อง ปวส. และ ป.ตรี ‘กล้า ลอง ดี’ ทำโครงการสาธารณประโยชน์เพื่อสังคม

‘เยาวชนคนทำดี’ โครงการของมูลนิธิเอสซีจีที่เปิดโอกาสให้น้องๆ นิสิต นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีหรือนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ได้นำทักษะ ความรู้ ความสามารถจากการเรียนในแต่ละสาขา หลักสูตร หรือวิชาชีพของตนเองมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์โครงการเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “ในปี 2561 นี้ โครงการเยาวชนคนทำดี โดยมูลนิธิเอสซีจีได้เปิดรับสมัครต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ภายใต้แนวคิด “กล้า ลอง ดี” เพื่อให้น้องๆ เยาวชนรุ่นใหม่ ได้กล้าออกจาก Comfort zone แล้วลองกระโจน ไปทำความดี ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมา น้องๆ นิสิต นักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการเยาวชนคนทำดี จะได้ลงมือทำโครงการจริง ลงพื้นที่จริง ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม คิดวิเคราะห์ถึงกระบวนการการทำงานและฝึกแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน นับว่าน้องกลุ่มนี้จะได้รับประสบการณ์อันล้ำค่าที่ไม่สามารถหาได้จากห้องเรียน ในขณะเดียวกันการทำโครงการด้วยจิตอาสาเช่นนี้ จะทำให้น้องๆ รู้จักการทำงานเป็นทีม มีความเห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ในวันข้างหน้าน้องๆ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็นคน ‘เก่งและดี’ ใช้ชีวิตเพื่อตนเองและผู้อื่นอย่างมีคุณค่า ในนามมูลนิธิเอสซีจีขอเชิญชวนน้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ระดับ ป.ตรี และ ปวส. มารวมตัวกันเพื่อแสดงออกทางความคิด ร่วมกันทำโครงการที่เป็นประโยชน์เพื่อตอบแทนสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 15 มิถุนายน 2561 โครงการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จะได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินงานสูงสุดโครงการละ 100,000 บาท”

‘น้องนิค’ นายกิตติพงษ์ บำรุงพงษ์ นักศึกษาชั้น ปวส. 2 สาขาวิชาปิโตรเคมี วิทยาลัยเทคนิคระยอง ได้เล่าประสบการณ์จากการทำโครงการกังหันน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เขาและเพื่อนๆ ได้รวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียจากบ่อพักน้ำเสียของเรือนจำกลางระยอง ที่เอ่อล้นเข้าไปเจิ่งนองบริเวณบ้านเรือนของคนในชุมชนละแวกใกล้เคียงว่า “เมื่อปีที่แล้วผมและเพื่อนรวมกลุ่มกันสมัครโครงการเยาวชนคนทำดี ปีที่ 5 เพื่อไปช่วยแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วเรือนจำและชุมชนโดยรอบ และในช่วงหน้าฝนน้ำจากบ่อน้ำนี้จะไหลเอ่อเข้าไปในชุมชนหมู่ที่ 9 ต.หนองละลอก ที่อยู่รอบๆ เรือนจำฯ ด้วย สิ่งที่พวกเราทำคือช่วยกันประกอบกังหันพร้อมต่อวงจรไฟฟ้าเข้ากับแผงโซลาเซลล์ และนำกังหันไปช่วยปรับคุณภาพน้ำเน่าเสียให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาน้ำเน่าเสียได้ ชาวบ้านเขาก็ดีใจที่มีกังหันมาช่วยทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น เมื่อน้ำไม่เน่าเสียแล้ว ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ดีขึ้นด้วย ตอนแรกผมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าจะทำโครงการได้สำเร็จ แต่พอได้ลงมือทำจริงแล้ว ผมภูมิใจและประทับใจกับโครงการนี้มาก โครงการนี้ให้ประโยชน์หลายด้าน ช่วยเปิดมุมมองทัศนคติที่ดี สร้างเสริมการทำงานเป็นทีม ทำให้ผมมีความรับผิดชอบมากขึ้น และในช่วงทำโครงการ ตัวผม เพื่อน รุ่นพี่ แม้แต่อาจารย์จะอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น ทำให้พวกเราสนิทและรู้ใจกันมากขึ้น แต่ก่อนจะโกรธและงอนกันง่ายมากเวลาเพื่อนแกล้งหรือไม่ช่วยงานกลุ่ม แต่เดี๋ยวนี้พวกเรามีเหตุและผลกันมากขึ้น เปิดใจฟังกันเยอะขึ้น”

ด้าน ‘น้องฟ้า’ นางสาวนวลอนงค์ จรลี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้สนอกสนใจในวัฒนธรรม ประเพณี วิถีการดำเนินชีวิตของชาวมอญในหมู่บ้านตากแดด ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี หนึ่งในผู้เสนอโครงการมอญเล่าเรื่อง เมืองสามโคก ได้รวมกลุ่มเพื่อนๆ จากคณะมนุษยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เข้าไปถอดบทเรียนองค์ความรู้เรื่องวัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนมอญ และนำมาจัดทำเป็น ‘เครื่องมือศึกษาชุมชน : ทำแผนที่เดินดิน ปฏิทินประเพณี ทำเนียบภูมิปัญญา ไอดอลชุมชน’ เพื่อเก็บบันทึกข้อมูลเป็นหลักฐานให้สืบทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานในชุมชน อีกทั้งยังสามารถนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลภายนอกที่สนใจในวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมได้อีกด้วย

‘น้องฟ้า’ ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านตากแดด ต.บางเตย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
ว่า “พวกเรารวมกลุ่มเพื่อนจาก 3 คณะ คณะมนุษยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และบริหารธุรกิจ ลงไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีของคนในชุมชนเชื้อสายมอญ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในชุมชนตั้งใจที่จะอนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลานอยู่แล้ว หลังจากเข้าไปพูดคุยกับคนในชุมชนว่าจะมาขอความรู้เรื่องวัฒนธรรมประเพณีของเขา ลุง ป้า น้า อา ก็มีความยินดีที่จะบอกเล่าข้อมูล เพื่อให้เราจดบันทึกเก็บเป็นองค์ความรู้ไว้ เพื่อนำไปจัดทำเป็นเครื่องมือศึกษาชุมชนก่อนส่งมอบให้คนในชุมชนได้เก็บไว้ให้ลูกหลานศึกษา และเราก็ขออนุญาตนำมาเผยแพร่ให้คนที่สนใจได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาชุมชนด้วย เครื่องมือศึกษาชุมชนฉบับนี้มี 4 อย่าง คือ แผนที่เดินดิน เราวาดลักษณะของหมู่บ้านออกมาเป็นแผนที่และปักหมุดไว้เลยว่า บ้านหลังไหนมีความถนัดหรือมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องใด เช่น การทำหางหงส์ การทำข้าวแช่ เป็นต้น ซึ่งพอเราได้แผนที่มาแล้วเราก็เข้าไปพูดคุยกับบ้านที่เราปักหมุดเอาไว้ เพื่อจดบันทึกภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ทีละเรื่อง และนำมาจัดเก็บเป็นทำเนียบภูมิปัญญาของชุมชน และตอนที่เราไปขอความรู้จากลุง ป้า น้า อา ตามบ้านแต่ละหลัง เราก็เห็นว่าพวกเขานี่ล่ะคือตัวจริงเสียงจริง พวกเราจึงอยากปั้นลุง ป้า น้า อา เป็นไอดอลของชุมชน เวลาที่มีคนนอกชุมชนหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาพวกเขาจะเป็นมัคคุเทศก์ที่เชี่ยวชาญในการนำเที่ยวที่สุด นอกจากนี้เรายังพบว่าชาวมอญยึดถือปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี เราจึงนำข้อมูลที่ได้มาทำปฏิทินประเพณี ควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าช่วงเวลาไหนที่ชุมชนจะมีกิจกรรมอะไร เพื่อจะได้เชิญชวนให้คนทั่วไปมาท่องเที่ยวและเรียนรู้วัฒนธรรมที่น่าสนใจนี้ได้ ผลจากการเข้าไปทำโครงการครั้งนี้ได้ช่วยสร้างรอยยิ้มให้แก่คนในชุมชนได้จริงๆ ลุง ป้า น้า อา ขอบใจพวกเรากันใหญ่เลย หนูมองว่าการทำกิจกรรมที่นอกเหนือจากการเรียนหนังสืออย่างโครงการเยาวชนคนทำดีแบบนี้ ถือว่าได้กำไรอย่างมากเพราะประสบการณ์หลายอย่างไม่อาจได้รับจากห้องเรียน เชื่อเถอะว่ามันดีจริงๆ อยากให้น้องรุ่นใหม่ๆ มาลองใช้พื้นที่ตรงนี้ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กัน นอกจากจะได้ช่วยสร้างประโยชน์ให้คนอื่นแล้ว ยังได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ท้ายนี้หนูขอบคุณโอกาสจากมูลนิธิเอสซีจีที่เชื่อมั่นในตัวพวกเรา ให้โอกาสพวกเราทำโครงการจนสำเร็จ ถ้าไม่ผ่านโครงการนี้พวกเราคงจะไม่รู้เลยว่า พวกเราสามารถนำสิ่งที่เรียนมาใช้ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้จริงๆ”

ด้าน ‘ป้าไก่’ เบญจวรรณ สุทธิผล ชาวบ้านในชุมชนบ้านตากแดด รู้สึกประทับใจน้องๆ นักศึกษาที่ทำให้คนในชุมชนได้หันกลับมาหวงแหนความงดงามของวัฒนธรรม ประเพณีโบราณ ว่า “ถ้านักศึกษาไม่เข้ามาสืบค้นเรื่องราวที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นในครั้งนี้ คนในชุมชนก็อาจจะหลงลืมไป เนื่องจากเห็นเป็นเรื่องที่เคยชิน เพราะอยู่กับสิ่งนั้นมาตั้งแต่เกิด เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งล้วนเป็นภูมิปัญญา เป็นวิถีชีวิตที่ควรเก็บรักษาเพื่อสืบทอดให้ลูกหลานต่อไป เช่น การทำข้าวแช่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ การทำหางหงส์และแห่ไปแขวนไว้ที่วัดในวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ ถ้าไม่มีการเก็บรักษาและขาดคนมาสืบสานไว้ สักวันหนึ่งคงหายไป ป้าขอบคุณน้องๆ นักศึกษากลุ่มนี้มากที่กล้าหาญ กล้าเข้ามาบอกว่าบ้านมอญของเรามีของดี ขอบคุณที่เด็กๆ กล้าเข้ามาบอกป้าว่าให้ช่วยกันจดบันทึกไว้เพื่อรักษาให้คนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป ซึ่งป้าเชื่อว่าเด็กๆ ที่มีความคิดที่ดี และมีความเก่งอย่างนี้ สักวันหนึ่งเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ จะช่วยพัฒนาสังคมประเทศชาติได้อีกมากมาย”

มูลนิธิเอสซีจีเชื่อว่าเด็กและเยาวชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมในวันนี้ ย่อมจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ “เก่งและดี” มีคุณภาพในวันข้างหน้า จึงควรปลูกฝังให้พวกเขาเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคมด้วยพลังความคิดเชิงบวกและความรู้ ความสามารถของพวกเขาเอง เพราะในท้ายที่สุดแล้วความรู้ในห้องเรียนจะยิ่งมีคุณค่า หากสิ่งนั้นสามารถนำมาประยุกต์เพื่อรับใช้สังคมและสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อไป มูลนิธิเอสซีจี ‘เชื่อมั่นในคุณค่าของคน’

สำหรับน้องๆ ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ ‘เยาวชนคนทำดี’ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.scgfoundation.org และสามารถติดตามข่าวสารโครงการผ่าน Facebook Fanpage “เยาวชนคนทำดี” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โทร 0 2586 5218, 0 2586 5506

มูลนิธิเอสซีจีส่งมอบอาคาร “เอื้อสุข” ให้แก่พี่น้องชาวปากพนังเพื่อใช้พักพิงในยามเกิดอุทกภัย

“ทุกครั้งที่น้ำท่วม ไม่มีใครคาดเดาได้และไม่รู้เลยว่าจะท่วมนานไหม ท่วมสูงแค่ไหน บางทีป้าลงจากบ้านไม่ได้เลยเป็นเดือน ถนนหนทางถูกตัดขาดหมด คนข้างนอกก็เข้ามาไม่ได้ คนข้างในก็ออกไปไม่ได้ ต้องสัญจรโดยเรืออย่างเดียว อยู่ในบ้านก็กลัวลมกลัวฝน ไม่รู้ว่าจะพัดหลังคาบ้านไปเมื่อไหร่ นั่งมองน้ำที่สูงขึ้นๆ ก็สิ้นหวังเหมือนกันนะ ตอนที่รู้ว่าจะมีอาคารหลังนี้ให้หลบภัย ให้อาศัยตอนน้ำท่วม ป้าดีใจมาก การมีที่อยู่ ถึงแม้จะชั่วคราวแต่ก็ช่วยให้อุ่นใจไม่ต้องหวาดกลัว ไม่ต้องลำบากอย่างที่ผ่านมาอีก” กานดา สุขศรีเมือง หรือ ‘ป้าทึ่ง’ ชาวชุมชนหมู่ที่ 8 ต.ขนาบนาก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ทุกปี

ย้อนไปเมื่อปลายปี 2559 ได้เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ขึ้นในเขตพื้นที่ภาคใต้ น้ำป่าไหลหลากเข้ามากวาดล้างบ้านเรือน และพรากหลายสิ่งไปจากพี่น้องผู้ประสบภัย ทั้งต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน สูญเสียอาชีพ ที่ดินและเครื่องมือทำกินเสียหาย ขาดซึ่งขวัญและกำลังใจ ในบางพื้นที่ถูกน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน ถนนหนทางได้รับความเสียหาย ซึ่งความเสียหายในครั้งนั้น ครอบคลุม 12 จังหวัดภาคใต้ โดย 3 อำเภอที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่ อ.ชะอวด อ.ปากพนัง และ อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เพราะเป็นทางผ่านสุดท้ายที่ต้องระบายน้ำลงสู่ทะเล จากเหตุการณ์รุนแรงทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น มูลนิธิเอสซีจี มุ่งเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน จึงก่อสร้าง อาคาร ‘เอื้อสุข’ ขึ้นเพื่อให้พี่น้องผู้ประสบภัยได้มีที่พักพิงที่ปลอดภัยยามเกิดภัยพิบัติ

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “มูลนิธิเอสซีจีร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในเอสซีจี และเพื่อนพนักงานเอสซีจีจิตอาสา จัดสร้างอาคาร “เอื้อสุข” ขึ้นในพื้นที่วัดโคกแสง ต.ขนาบนาก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้เป็นสมบัติของคนในชุมชนได้ใช้พักพิงอาศัยในยามเกิดอุทกภัยและวาตภัย โดยอาคารเอื้อสุขเป็นอาคารอเนกประสงค์ มีคุณสมบัติแข็งแรง มั่นคง ทนทาน สามารถรองรับการเกิดอุทกภัยและวาตภัยได้ ตัวอาคารยกใต้ถุนสูง 2 เมตร เพื่อให้ชาวบ้านมั่นใจว่าน้ำจะไม่ท่วมถึงตัวอาคาร เนื่องจากที่ผ่านมา ที่ตั้งของอาคารแห่งนี้เคยถูกน้ำท่วมสูงสุด 60 เซนติเมตร ในขณะที่บริเวณอื่นๆ น้ำเคยท่วมสูงถึงเกือบ 2 เมตร ดังนั้น พื้นที่บริเวณวัดโคกแสงจึงถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมมากที่จะก่อสร้างอาคารเพื่อป้องกันอุทกภัย ชาวบ้านสามารถเข้ามาพักพิงหลับภัยบนอาคารได้ประมาณ 200 คน และพักพิงอยู่ได้เป็นระยะเวลานับแรมเดือน ด้านในอาคารจะมีห้องน้ำไว้ปลดทุกข์อย่างถูกสุขลักษณะ มีห้องสำรองเสบียงอาหารแห้ง มีพื้นที่สำหรับประกอบกิจวัตรประจำวัน เช่น หุงหาอาหาร ซักล้าง ฯ ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องผู้ประสบภัยสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างดีพอสมควรทีเดียว”

ด้าน ปรีชา นวประภากุล อุปนายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กล่าวว่า “ก่อนจะมาเป็นอาคารเอื้อสุข ทางสมาคมฯ ได้ดำเนินการจัดประกวดแบบก่อสร้างอาคาร โดยเราเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป กลุ่มสมาชิกของสมาคม และบริษัทต่างๆ ในเขตพื้นที่ภาคใต้เข้ามามีส่วนร่วมในการประกวดแบบอาคาร เราต้องการแบบที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัย มั่นคง และมีพื้นที่ใช้สอยที่สะดวกเหมาะสมกับการอยู่อาศัยชั่วคราว อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้นักออกแบบได้ประชันความคิด ได้สร้างสรรค์คุณค่าและสร้างประโยชน์แก่ชุมชน โดยแบบที่ชนะการประกวด จะถูกนำไปก่อสร้างจริงและป้องกันภัยให้คนในชุมชนได้จริง”

นฤดล เจ๊ะแฮ หรือ ‘ซิกกรี’ ผู้เขียนแบบอาคารเอื้อสุข ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในนามของบริษัท ณัฐ บิวดิ้ง จำกัด เล่าว่า “ผมต้องการนำวิชาความรู้มาช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัย แม้ว่าผมจะเป็นมุสลิม แต่การออกแบบในครั้งนี้ ผมคำนึงถึงบริเวณที่ก่อสร้างเป็นหลัก ว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่ชาวพุทธอาศัยอยู่เป็นส่วนมาก ผมจึงอยากให้รูปทรงอาคารมีความสอดคล้องกับมิติสังคมวัฒนธรรมของคนในพื้นที่นี้ จึงได้นำแนวคิดการนั่งสมาธิของชาวพุทธ มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบอาคาร รูปทรงอาคารจึงมีส่วนคล้ายกับวงของมือที่ประสานกันในขณะนั่งสมาธิ คือการวางมือขวาทับมือซ้ายและหัวแม่มือชนกัน ตัวอาคารจึงตั้งอยู่อย่างสง่างามและให้ความรู้สึกสงบนิ่ง ไม่อ่อนล้าแม้ยามแดดจัดและไม่สั่นไหวแม้ลมพัดแรง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต่อต้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเลือกวางแนวอาคารให้สอดคล้องไปกับธรรมชาติคือให้อยู่ตามทิศทางลม เปิดช่องลมไว้ตามจั่วและประตู ยกพื้นอาคารให้สูง 2 เมตร เพื่อให้ลมพัดผ่านได้สะดวก อีกทั้งยังช่วยให้พ้นระดับน้ำท่วมด้วย โครงสร้างของอาคารมีความแข็งแรงทนทานมาก ด้วยการลงเสาเข็มลึก 25 เมตร เทฐานรากด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก และยึดตอม่อทุกตัวเข้าด้วยกันเหมือนยึดตอม่อสะพาน เพื่อให้กระจายการรับน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้นและป้องกันการทรุดตัวของอาคาร สามารถรองรับคน 200 คนได้นาน 2-3 เดือน ปลอดภัยแน่นอน นอกจากนี้ผมยังได้นำแนวคิดเรื่อง Carbon Zero มาใช้ด้วย คือ ในระหว่างการก่อสร้างเราจะพยายามลดขยะหรือของเสีย หรือของเหลือใช้ที่เกิดจากการก่อสร้างให้มากที่สุด หรือแม้แต่การเลือกใช้วัสดุหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ต้องเป็นของที่มีคุณภาพและหาซื้อได้ง่ายตามท้องถิ่น เพื่อให้คนในชุมชนสามารถซื้อหามาเปลี่ยนหรือซ่อมแซมได้ด้วยตนเอง”

นอกจาก ‘แบบ’ ที่พร้อมก่อสร้างแล้ว อีกหนึ่งแรงสำคัญคือผู้กำกับดูแลทุกขั้นตอนของการก่อสร้างนับตั้งแต่การปรับพื้นที่ให้พร้อมกับการดำเนินการ ณรงค์ฤทธิ์ อุปถัมภ์ Product and Service Development Director บริษัทกระเบื้องหลังคาซีแพค จำกัด ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในเอสซีจี กล่าวว่า “ทุกรายละเอียดของการติดตั้งและประกอบวัสดุเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องได้มาตรฐาน เพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ถ้าจุดไหนที่เราไม่แน่ใจ ก็จะต้องยืนยันข้อมูลกับผู้เขียนแบบก่อนเสมอเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการก่อสร้าง แม้การควบคุมงานก่อสร้างอาคารตลอดระยะเวลา 90 วัน จะมีอุปสรรคจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนบ้าง แต่พวกเราทีมงานทุกคนรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาคารหลังนี้ ภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือชุมชน”

สำหรับอาคารเอื้อสุขแห่งนี้ใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 3,050,000 บาท โดยเป็นงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจี 2,900,000 บาท ซึ่งได้รับเงินบริจาคส่วนหนึ่งมาจากพนักงานเอสซีจีจิตอาสากว่า 500,000 บาท และพี่น้องประชาชนที่ร่วมสมทบบริจาคผ่านมูลนิธิเอสซีจี พร้อมนี้สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ร่วมสนับสนุนอีก 150,000 บาท เพื่อให้อาคารนี้เสร็จสมบูรณ์และพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ

มูลนิธิเอสซีจีหวังว่าอาคารหลังนี้จะเป็นประโยชน์ สามารถรับใช้ชุมชนทั้งในยามปกติและในยามฉุกเฉิน ในยามปกติที่คลื่นลมสงบปราศจากภัยพิบัติใดๆ อาคารแห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อคนในชุมชน เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องราวความเป็นไปของชุมชน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งระแวดระวังและร่วมกันวางแผนรับมือกับภัยพิบัติได้ในเบื้องต้น ส่วนในยามฉุกเฉิน
มูลนิธิฯ ก็หวังว่าที่พักพิงแห่งนี้จะทำหน้าที่ปกป้องดูแลผู้ประสบภัยให้รอดพ้นจากอันตรายได้

นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา

อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาประเทศ ยิ่งในยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การสร้างสรรค์นวัตกรรม การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ มีความสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศเป็นอย่างมาก เวทีการประกวดจึงเป็นพื้นที่แห่งโอกาสให้น้องๆอาชีวะฝีมือชนได้นำความรู้ความสามารถเชิงช่างมาฝึกฝนประลองทักษะฝีมือ เพื่อพัฒนาตนเองและยังประโยชน์แก่สังคมในหลายมิติ

ล่าสุด กับ ‘การประกวดสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่และการแข่งขันหุ่นยนต์อาชีวศึกษา ระดับชาติ ประจำปีการศึกษา 2560’ ชิงถ้วยประทานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งถือเป็นการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยในครั้งนี้ มี น้องๆ อาชีวศึกษา ส่งผลงานเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 240 ผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจากการประกวดระดับจังหวัดและระดับภาคซึ่งผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการตัดสินที่มีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับหนึ่งในนั้นยังรวมถึงผลงานจาก นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี ที่สร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคณะกรรมการในเวทีระดับประเทศ คว้ารางวัลมาหลากหลายสาขาทีเดียว

“มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณะกุลศลที่มุ่งเน้นการให้การสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่น้อง ๆ ที่เรียนอาชีวะระดับ ปวช. และ ปวส. สาขาช่างอุตสาหกรรม และสาขาบริการ มาอย่างต่อเนื่อง และนอกจากสนับสนุนทุนการศึกษาแล้ว ยังได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาของนักเรียนทุนฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างอาชีวะฝีมือชนน้ำดีที่มีคุณภาพ คือ ทั้งเป็นคนเก่งและดี ซึ่งจากผลการแข่งขันในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่น้อง ๆ นักเรียนทุนที่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิฯ ได้สร้างผลงานได้ดีเยี่ยม ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่า นำมาซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตัวน้องๆ เอง ซึ่งการเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึงการใช้ความรู้ความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นสร้างสรรค์ผลงาน จากองค์ความรู้ที่เกิดจากเรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ถือเป็นการจุดประกายไอเดียคนรุ่นใหม่ และมูลนิธิฯ เชื่อว่าในอนาคต อาจจะมีผลงานจากเหล่าอาชีวะฝีมือชนอีกมากมายที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ในวันนี้” สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวชื่นชม

น้องอาร์ต – เมธี ขำพวง

ด้านนักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ น้องอาร์ต – เมธี ขำพวง นักศึกษาชั้น ปวส.1 สาขาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน ผู้ได้รับรางวัลรางวัลเกียรติยศ (Honor Award) ประเภทสิ่งประดิษฐ์ด้านการประกอบอาชีพ ด้านเครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Tool / Equipment) ซึ่งรางวัลนี้เป็นรางวัลที่คัดเลือกโดยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก เช่น สำนักงานวิจัยแห่งชาติ กรมทรัพย์สินทางปัญญา สมาคมการประดิษฐ์ไทย สื่อมวลชน และบริษัทเอกชน โดยมุ่งคัดผลงานที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเข้าสู่อุตสาหกรรมหรือเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ โดยผลงานชิ้นนี้ คือเครื่องวัดความสุกของทุเรียน ซึ่งน้องอาร์ตได้เล่าถึงแนวคิดที่มาของผลงานว่า ประชาชนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่วนใหญ่ทำอาชีพปลูกทุเรียน ทีมจึงได้คิดประดิษฐ์อุปกรณ์ตรวจสอบความสุกของทุเรียน เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่ผู้บริโภค โดยได้ออกแบบอุปกรณ์ในรูปแบบของเข็มฉีดยา ให้สะดวกต่อการใช้งาน เลือกใช้วัสดุที่ไม่ทำความเสียหายต่อเนื้อทุเรียน และไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

“สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ครับ แค่ผมได้มาแข่งขันและได้ลงมือทำอย่างเต็มที่ก็ดีใจมากแล้ว ซึ่งการได้รับรางวัลเกียรติยศ (Honor Award) นี้ ทำให้ผมภูมิใจกับสิ่งประดิษฐ์ของตนเองมากขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นคือผมภูมิใจที่เลือกเรียนอาชีวะ ถือว่าเป็นประสบการณ์นอกห้องเรียนที่มีประโยชน์ และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนออกไปสู่โลกของการทำงานได้เป็นอย่างดีครับ” น้องอาร์ต กล่าว

น้องหน่านี้ – นูรไอนี กำลังเที่ยง (ยืนหน้า)

ด้านน้องหน่านี้ – นูรไอนี กำลังเที่ยง นักศึกษาชั้น ปวช.3 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานี หนึ่งในเจ้าของผลงาน “น้ำนมข้าวหอมกระดังงาพร้อมดื่ม” ซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้สูงอายุ กล่าวถึงที่มาของการสร้างสรรค์ผลงานว่า ตลาดเครื่องดื่มในปัจจุบันถือเป็นตลาดที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครื่องดื่มสุขภาพ ทางทีมจึงได้นำข้าวพันธุ์พื้นเมืองของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำข้าวสุขภาพ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีโปรตีนที่สูงกว่าน้ำนมข้าวทั่วไปที่ขายในท้องตลาด เพื่อเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้สูงอายุและผู้บริโภคทั่วไป

“การเข้าแข่งขันในครั้งนี้ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่มีค่ามาก ได้เห็นผลงานของเพื่อนๆ อาชีวะด้วยกัน ทำให้เราเก็บเกี่ยวความรู้เพื่อไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราให้ดีขึ้น รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะถือว่าเป็นการเผยแพร่ข้าวหอมกระดังงาของดีประจำจังหวัดให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยค่ะ” น้องหน่านี้ กล่าว

น้องเมย์ – อรัญภรณ์ ดิษฐยภัทรท์

ด้าน น้องเมย์ – อรัญภรณ์ ดิษฐยภัทรท์ นักศึกษาชั้น ปวส.2 วิทยาลัยเทคนิคลำปาง สาขาช่างไฟฟ้า หนึ่งในเจ้าของผลงานเครื่องควบคุมสภาพแวดล้อมของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ แบบอัตโนมัติด้วย Internet of Things หรือ Smart Hydroponics ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farm) กล่าวถึงที่มาของผลงานว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญอย่างมากในการดำเนินชีวิต จึงเห็นว่าควรนำมาประยุกต์ใช้กับการทำเกษตรกรรม เพื่อให้เกษตรกรมีความสะดวกสบายในการดูแลพืชผักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับผักไฮโดรโปนิกส์ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ จุดเด่นของเครื่องนี้คือสามารถทำงานได้อัตโนมัติ โดยถ้าภายในฟาร์มมีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เครื่องก็จะทำงานทันที โดยไม่ต้องตั้งเวลาไว้ล่วงหน้า และยังสามารถสั่งงานผ่านแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย ทำให้สั่งการได้ทุกที่ทุกเวลา

“รู้สึกดีใจที่ได้รับรางวัลที่มีเกียรตินี้ เพราะกว่าจะได้รางวัลนี้ ต้องผ่านการคัดเลือกมาหลายขั้นตอน ทำให้รู้สึกคุ้มค่ากับการทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างสรรค์ผลงาน Smart Hydroponics ขึ้นมา ซึ่งหนูได้รับทักษะความรู้ใหม่ๆ มากมาย ที่จะนำไปพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้แก่ตัวเองต่อไปในอนาคตค่ะ” น้องเมย์ กล่าว

น้องเทิด – จิรชัย ใสสะอาด

ปิดท้ายที่นักเรียนทุนฯ อีกหนึ่งคนอย่าง น้องเทิด – จิรชัย ใสสะอาด นักศึกษาชั้น ปวช.1 สาขาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคชัยภูมิ หนึ่งในเจ้าของผลงาน หุ่นยนต์กู้ภัย ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทหุ่นยนต์กู้ภัย บอกเล่าจุดเริ่มต้นของการเข้าแข่งขันในครั้งนี้ว่า เมื่อเห็นประกาศเปิดรับสมัครการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัย ก็ทำให้เกิดความสนใจอยากส่งผลงานเข้าประกวด จึงได้คิดกับเพื่อนๆ ในทีมสร้างหุ่นยนต์กู้ภัยขึ้นมา เพราะอยากให้ทุกคนเห็นว่าเด็กอาชีวะก็สามารถสร้างผลงานดีๆ ได้ โดยหุ่นยนต์กู้ภัยนี้สามารถอ่านบาร์โค้ดได้ วัดค่า CO2 วัดอุณหภูมิความร้อนบริเวณโดยรอบหุ่นยนต์ รวมถึงมีไมโครโฟนไว้สำหรับสื่อสารระหว่างผู้ที่ควบคุมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ กับผู้ที่ควบคุมหุ่นยนต์อีกด้วย

“การเข้าแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยในปีนี้ ถือเป็นปีแรกของผมที่ได้รางวัลใหญ่ขนาดนี้ รู้สึกภูมิใจมากครับ ซึ่งผมจะพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้นไป เพื่อในอนาคตจะสามารถไปแข่งขันในระดับโลก ให้ทุกคนได้รู้ว่าเด็กอาชีวะก็มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาประเทศครับ” น้องเทิด กล่าว

การประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา ถือเป็นกิจกรรมการประกวดสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งเน้นการสนับสนุน ส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาระดับอาชีวศึกษาได้ประดิษฐ์คิดค้นสร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์จากองค์ความรู้ที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนหลากหลายสาขาวิชา อันนำไปสู่ผลงานที่มีประโยชน์ สามารถใช้งานได้จริง และสามารถจำหน่ายได้ จนก่อเกิดเป็น “สุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา” อย่างแท้จริง

มูลนิธิเอสซีจี เชื่อมั่นในคุณค่าของคน เชื่อมั่นในอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติสำหรับน้องๆ ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ ‘เยาวชนคนทำดี’ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.scgfoundation.org และสามารถติดตามข่าวสารโครงการผ่าน Facebook Fanpage “เยาวชนคนทำดี” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โทร 0 2586 5218, 0 2586 5506

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมให้กำลังใจนักเรียนทุน “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” ในเวทีการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา ระดับชาติ

มูลนิธิเอสซีจี ร่วมให้กำลังใจ ส่งแรงเชียร์น้องๆนักเรียนทุน“อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” โดยมูลนิธิเอสซีจี ถึงขอบสนามในการแข่งขัน “การประกวดสิ่งประดิษฐ์ของคนรุ่นใหม่และการแข่งขันหุ่นยนต์อาชีวศึกษา ระดับชาติ ประจำปีการศึกษา 2560” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นเวทีการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้เรียนอาชีวะได้ใช้ความรู้ความสามารถเชิงช่างคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์จากองค์ความรู้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ความสามารถของผู้เรียนอาชีวะให้เป็นที่ยอมรับ ณ ห้องไดมอนด์ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จ.ปทุมธานี

โครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” โดยมูลนิธิเอสซีจี เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2556 เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้ค้นหาความชอบความถนัดของตนเอง แล้วมุ่งไปในทิศทางที่ตรงจุด ซึ่งการเรียนอาชีวะนับเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและ ตอบโจทย์สภาวการณ์ปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะสาขาช่างอุตสาหกรรม สาขาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สาขาคหกรรมศาสตร์ สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ และสาขาเกษตรกรรม ปัจจุบันมูลนิธิฯ มีนักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ ทั้งสิ้นกว่า 1,500 คน โดยทุนนี้เป็นทุนให้เปล่า ไม่มีภาระผูกพันต้องใช้คืน และเป็นทุนต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)

มูลนิธิเอสซีจี มอบของขวัญปีใหม่ให้แก่น้องๆ จากมูลนิธิและสถานสงเคราะห์ต่างๆ ในงาน “เทศกาลนิทานในสวน” รอบพิเศษ

มูลนิธิเอสซีจี นำโดย ยุทธนา เจียมตระการ กรรมการมูลนิธิเอสซีจี (ลำดับที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วย วรพล เจนนภา กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเอสซีจี (ลำดับที่ 3 จากซ้าย) และ สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี (ลำดับที่ 5 จากซ้าย) จัดงาน ‘เทศกาลนิทานในสวน ปีที่ 13’ รอบพิเศษ เพื่อมอบเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ให้กับน้องๆ จากมูลนิธิและสถานสงเคราะห์ต่างๆ ภายในงานมีกิจกรรมแสนสนุกมากมายให้เด็กๆ ได้เปิดโลกแห่งการเรียนรู้และจินตนาการ เช่น มุมระบายสี ละครนิทานเร่ มุมอ่านหนังสือภาพ เพ้นท์หน้า ฯลฯ นอกจากนี้ ครูชีวัน วิสาสะ กองบรรณาธิการจากโครงการนำหนังสือดีสู่เด็กไทย (ลำดับที่ 6 จากซ้าย) และ ‘ป้ากุล’ รองศาสตราจารย์กุลวรา ชูพงศ์ไพโรจน์ นักเล่านิทาน นักแต่งและนักแปลนิทานชั้นแนวหน้าของเมืองไทย (ลำดับที่ 2 จากซ้าย) ร่วมเล่านิทาน อ่านหนังสือใต้เงาไม้ให้เด็กๆ ฟัง เพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสบรรยากาศงานอันอบอุ่น และเติมเต็มรอยยิ้มแห่งความสุขเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่เด็กๆ

ทั้งนี้ โครงการเทศกาลนิทานในสวน เป็นกิจกรรมที่มูลนิธิเอสซีจีจัดเป็นประจำต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เพื่อจุดประกายให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง เกิดแรงบันดาลใจในการนำหนังสือภาพไปใช้เพื่อพัฒนาลูกน้อย และให้ครอบครัวได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน โดยแต่ละปีจะเนรมิตพื้นที่สวนสาธารณะใจกลางเมือง อาทิ สวนลุมพินี สวนหลวง ร.9 ให้เป็นพื้นที่แห่งการอ่าน โดยนำหนังสือภาพจำนวนมากมาให้เด็กๆ ได้เลือกอ่าน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสนสนุกที่จะช่วยเพิ่มทักษะและพัฒนาการการเรียนรู้ด้านต่างๆ ของเด็กๆ อีกด้วย

มูลนิธิฯ มุ่งหวังให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นอีกแรงผลักดันหนึ่งให้พ่อแม่ที่มีลูกน้อยในช่วงวัยแรกเกิด – 6 ปี ผู้เกี่ยวข้อง ชุมชน และสังคมได้รับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการเล่านิทาน อ่านหนังสือให้เด็กๆ ฟัง ให้ลูกน้อยได้รับการพัฒนาตั้งแต่ยังเล็ก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และให้ความรักความอบอุ่นของครอบครัวเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีให้แก่ลูกน้อยเมื่อเติบโตขึ้น

มูลนิธิเอสซีจี เปิดนิทรรศการแสดงศิลป์สัญจร ครั้งแรก “จะอั้น จะอี้ จะอาร์ต” จากโครงการรางวัลยุวศิลปินไทยสู่นครลำปาง

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นพัฒนาคน และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเยาวชน ได้ดำเนินโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย Young Thai Artist Award เวทีการประกวดศิลปะระดับเยาวชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์งานศิลป์ ได้มีเวทีในการแสดงความสามารถเชิงศิลปะอย่างกว้างขวาง เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยจากทั่วประเทศได้มีพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถด้านศิลปะถึง 6 สาขาได้แก่ สาขาศิลปะ 2 มิติ ศิลปะ 3 มิติ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ วรรณกรรม และการประพันธ์ดนตรี ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถาบันการศึกษาชั้นนำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านศิลปะ เพื่อร่วมกันเจียระไนเพชรเม็ดงามประดับวงการศิลปะไทยมาอย่างต่อเนื่องกว่า 1 ทศวรรษ

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวว่า “นับเป็นปีที่ 13 ของโครงการรางวัลยุวศิลปินไทย หรือ Young Thai Artist Award ที่ดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2547 และในปี 2560 มูลนิธิเอสซีจีได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณา-โปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยรางวัลยอดเยี่ยมแก่น้องๆ ยุวศิลปินไทยทั้ง 6 สาขา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งเหล่ายุวศิลปินไทย คณะกรรมการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฯ ทุกคนทุกฝ่าย รวมทั้งมูลนิธิเอสซีจีต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ถือเป็นเกียรติประวัติ เป็นขวัญและกำลังใจของพวกเราทุกคน”

นอกจากนี้ เพื่อเผยแพร่ผลงานศิลปะสุดสร้างสรรค์ของยุวศิลปินไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มูลนิธิฯ จึงได้นำผลงานของน้องๆ มาจัดแสดง ณ หอศิลปะและการแสดงนครลำปาง บ้านบริบูรณ์ จังหวัดลำปาง ซึ่งถือเป็นการจัดนิทรรศการพิเศษ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทยสัญจร เป็นครั้งแรก เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านศิลปะมาสู่ชุมชน และเป็นโอกาสอันดีของเหล่ายุวศิลปิน ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่จะได้สัมผัสสุนทรียะแห่งศิลปะจากศิลปินรุ่นใหม่และศิลปินล้านนาอันก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อจรรโลงสังคมสืบไป

การจัดการประกวดโครงการรางวัลยุวศิลปินไทยในปีนี้มีน้องๆ เยาวชนที่มีหัวใจรักงานศิลปะจากทั่วประเทศได้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดกว่า 300 ชิ้นงาน และได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขา จนเหลือผลงานสร้างสรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพจำนวน 36 ชิ้นที่ได้รับรางวัล

ซึ่งนำมาจัดแสดงให้ทุกคนได้สัมผัสถึงผลงานศิลปะที่มีอัตลักษณ์ของยุวศิลปินรุ่นใหม่

ด้านชมัยภร แสงกระจ่าง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2557 หนึ่งในคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทยเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ในศิลปะหลากหลายแขนง โดยให้อิสระในการสร้างสรรค์งาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาศิลปะวัฒนธรรมของไทยแบบร่วมสมัยไว้ได้ด้วย สังเกตจากผลงานที่ได้รับรางวัล ผู้สร้างสรรค์สะท้อนความคิดของตนเองผ่านงานศิลปะ ด้วยวิธีการของตนเองที่แสดงออกถึงความร่วมสมัยได้อย่างชัดเจน การที่มูลนิธิเอสซีจีได้ริเริ่มนำผลงานศิลปะมาสัญจรในครั้งนี้จะยิ่งทำให้ผู้คนได้ชมผลงานศิลปะที่หลากหลาย เป็นการกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดให้แตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวางโดยเห็นมุมมองศิลปะใหม่ๆ ผ่านงานศิลปะนั้นๆ และแน่นอนที่สุดจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจุดประกายความคิดและสร้างสุนทรียะทางศิลปะที่ดีในสังคม”

ด้าน สุภาวดี เจ๊ะหมวก นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย สาขา วรรณกรรม ประจำปี 2560 จากผลงาน ‘ฉันเป็น’ เผยถึงความรู้สึกที่ผลงานได้รับการนำมาจัดแสดงในครั้งนี้ว่า “โครงการรางวัลยุวศิลปินไทยเป็นโครงการที่ดีเยี่ยม เป็นเวทีที่สนับสนุนเยาวชนในการสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งในประเทศไทยไม่ค่อยมีโครงการแบบนี้เกิดขึ้น และที่สำคัญยังเป็นเวทีที่ครอบคลุมศาสตร์แห่งศิลปะหลากหลายด้าน นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่แห่งโอกาสให้กับเยาวชนได้เดินตามความฝันในการแสดงศักยภาพด้านศิลปะ อีกทั้งยังจัดแสดงผลงานให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า และสัญจรมาจัดแสดงยังหอศิลปะการแสดงนครลำปาง บ้านบริบูรณ์ นับเป็นเกียรติ

ประวัติของชีวิตในการเริ่มต้นเป็นศิลปิน ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่ให้การสนับสนุนให้เด็กหัวศิลป์อย่างเรามีที่ยืนอย่างสง่างามในสังคม”

ผู้สนใจสามารถเข้าชมผลงานที่เปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ของยุวศิลปินไทยเลือดใหม่แห่งวงการศิลปะผ่านการจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ โครงการรางวัลยุวศิลปินไทย Young Thai Artist Award สัญจร ครั้งที่ 1 แสดงศิลป์ จะอั้น จะอี้ จะอาร์ต ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ เวลา 18.00-21.00 น. (เปิดทำการเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์) ณ หอศิลปะและการแสดงนครลำปาง บ้านบริบูรณ์ จ. ลำปาง

มูลนิธิเอสซีจี ผนึกกำลังจิตอาสา สร้างอาคารเรียนหลังที่ 34 มอบโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร บ้านคำครึ่ง

เป็นเวลา 30 กว่าปีแล้วที่มูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมกับเพื่อนพนักงานเอสซีจีทั้งชายและหญิง เสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์ และวันหยุดพักผ่อนประจำปีออกเดินทางไปทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในรูปแบบโครงการค่ายอาสาพัฒนาเอสซีจี โดยก่อสร้างอาคารเรียนให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารปีละหนึ่งหลัง เพื่อเป็นเป็นแหล่งเรียนรู้ในการวางรากฐานด้านปัญญาให้กับเยาวชน โดยการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเอสซีจี และการอนุเคราะห์วัสดุก่อสร้างจากบริษัทในเครือเอสซีจี

ในปีนี้ มีพนักงานเอสซีจีและสมาชิกในครอบครัว เสริมทัพด้วยจิตอาสาของน้องฝีมือชน คนสร้างชาติจากวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวงซิเมนต์ไทยอนุสรณ์ และวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่นรวมกันแล้วกว่า 550 ชีวิต ร่วมเดินทางไปก่อสร้างอาคารเรียนหลังที่ 34 และห้องน้ำ ณ โรงเรียนบ้านคำครึ่ง ต.หัวนาคำ อ. กระนวน จ. ขอนแก่น โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน และครูอาจารย์ในพื้นที่ที่ระดมแรงกายแรงใจมาช่วยงานก่อสร้าง ประกอบอาหาร เด็กนักเรียนมาช่วยบริการน้ำดื่ม ไม่เพียงเท่านี้ยังได้รับน้ำใจจากรั้วของชาติ ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายศรีพัชรินทร มาช่วยเสริมแรง คนละไม้คนละมือร่วมกันก่อสร้างอาคารเรียนชั้นเดียว ขนาด 7X36 เมตร จำนวน 4 ห้องเรียน และ ห้องน้ำ 1 หลัง จำนวน 6 ห้อง ภายในระยะเวลาเพียง 9 วัน (ไม่รวมระยะเวลาการก่อสร้างวางฐานราก) หวังให้อาคารหลังนี้เป็นแหล่งศึกษาเล่าเรียน ขยายโอกาส และพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษาให้แก่น้องๆ เยาวชนในถิ่นทุรกันดาร

ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี กล่าวในวันมอบอาคารเรียนว่า “มูลนิธิเอสซีจี เล็งเห็นว่าเด็กทุกคนสมควรได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม มีที่เรียนที่เอื้อต่อการศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เด็กๆ เติบโตไปเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ที่ผ่านมามูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับชมรมอาสาพัฒนาเอสซีจีส่งมอบอาคารเรียนให้แก่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ทางการศึกษาของเด็ก และเยาวชน โดยได้สร้างและมอบอาคารเรียนไปแล้ว 33 หลัง ห้องน้ำ 8 หลัง สถานพยาบาล 2 หลัง และถังเก็บน้ำฝน 2 ถัง โดยในปี 2558 นี้ได้สร้างอาคารเรียน และห้องน้ำด้วยงบประมาณ 4 ล้านบาท ให้แก่โรงเรียนบ้านคำครึ่ง ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังที่ 34 ”

กว่าจะสำเร็จเป็นอาคารเรียนหลังใหม่ที่สวยงามพร้อมให้เด็กๆ บ้านคำครึ่งได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนนั้น เบื้องหลังชาวค่ายทุกคนต้องทำงานท่ามกลางอุณหภูมิที่ร้อนระอุ สลับกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความมุ่งมั่นของจิตอาสาที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทำงานกันอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำเปลี่ยนพื้นที่รกร้างจากกองดินเป็นอาคารเรียนจนเสร็จสมบูรณ์

น้องวาว ชัชวาล ร่มไตรรัตน์ พนักงานเอสซีจี ผู้เข้าร่วมกิจกรรมค่ายอาสาเป็นปีแรกเปิดเผยว่า “รู้สึกได้ถึงความสุขของการได้ทำประโยชน์เพื่อสังคม ปกติในชีวิตประจำวันเราก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นมากนัก การทำงานหรือไปเที่ยวกินเล่นก็เพื่อความสุขของตัวเอง แต่การได้มาทำประโยชน์เพื่อตอบแทนสังคมอย่างการร่วมออกค่ายก่อสร้างอาคารเรียนถือว่าได้ช่วยให้น้องๆ บ้านคำครึ่งได้มีสถานที่เรียนเพียงพอเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ดีขึ้นให้กับอนาคตของชาติ”

ด้านน้องกระแต กมลวรรณ จอมแก้ว พนักงานเอสซีจีน้องใหม่หัวใจอาสาที่มาร่วมออกค่ายเป็นปีแรกเช่นกันเปิดเผยประสบการณ์การเป็นผู้ให้ว่า “งานหลักๆ ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้และลงมือทำกับพี่ๆ ชาวค่าย คืองานโป๊วสี ตั้งแต่กำแพง จนถึงหัวตะปูตามเสา ต้องบอกว่าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลย โชคดีที่ได้คำแนะนำที่ดีสอนเทคนิคการโป๊วสีจากพี่ๆ ชาวค่าย ตอนทำก็เหนื่อยมากแต่พอเห็นอาคารเรียนสร้างเสร็จ เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ และทุกคนในชุมชน ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการก่อสร้างสถานที่บ่มเพาะความรู้ให้แก่เยาวชนในถิ่นทุรกันดารในครั้งนี้”

เช่นเดียวกับน้องแซ็ค เนธิพงษ์ พลตรี นักเรียนทุนฝีมือชน คนสร้างชาติ โดย มูลนิธิเอสซีจี ที่อาสามาร่วมค่ายในครั้งนี้ได้กล่าวเสริมว่า “ผมภูมิใจมากที่ได้นำความรู้เทคนิคทางช่างที่ได้ร่ำเรียนมาร่วมก่อสร้างอาคารเรียนครั้งนี้ การมาออกค่ายทำให้ผมได้ลงมือปฏิบัติงานจริงๆ แถมยังได้เกร็ดความรู้ฝีมือช่างที่ไม่มีในตำราเรียนอีก แม้จะเหน็ดเหนื่อยร่างกายแต่ก็มีความสุขใจที่ได้ทำ และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กช่างน้ำดียังมีอยู่ในสังคมไทย”

ทั้งนี้ทางมูลนิธิฯ ยังมอบชุดครุภัณฑ์ ชั้นหนังสือ อุปกรณ์กีฬาให้กับทางโรงเรียน และร่วมกับบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด มอบสนามเด็กเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีทางด้านร่างกาย บริษัทเอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) มอบศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แก่โรงเรียน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้นำนักเตะชื่อดัง อาทิ สารัช อยู่เย็น กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นาโออากิ อาโอยามะ และสต๊าฟโค้ชสโมสรเอสซีจี เมืองทองฯ เดินทางมาเปิดคลินิกฝึกสอนเทคนิคการเล่นฟุตบอลขั้นพื้นฐานให้น้องๆ เพื่อปลูกฝังความรักในการกีฬา การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ

ขณะที่เด็กหญิงอังกอร์ มูลสมบัติ นักเรียนโรงเรียนบ้านคำครึ่งพูดถึงความรู้สึกประทับใจว่า “หนูมาโรงเรียนทุกวันช่วงก่อสร้าง มาช่วยเสิร์ฟน้ำให้พี่ๆ คนค่ายได้ดื่มกัน แทนคำว่าขอบคุณ ต้องบอกว่าดีใจมากค่ะที่ชุมชนเราได้รับโอกาสให้ได้มีอาคารเรียนสวยงามหลังนี้ มีโต๊ะเรียนใหม่ หนังสือใหม่ อุปกรณ์กีฬา และยังได้เจอนักฟุตบอลชื่อดังอีกด้วย ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจี และพี่ๆ จิตอาสาทุกคนที่เห็นความสำคัญเรื่องการศึกษาของเด็กต่างจังหวัดอย่างพวกหนู ทำให้พวกเรามีอาคารเรียน และห้องน้ำที่เพียงพอ ขอขอบคุณค่ะ”

การให้โอกาสทางการศึกษา ถือเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นการลงทุนทางปัญญาที่คุ้มค่าที่สุด มูลนิธิเอสซีจีจึงดำเนินการสร้างอาคารเรียนให้โรงเรียนที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดารอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน ด้วยมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเห็นเด็กๆ เติบโตเป็น “คนเก่งและดี” ในวันหน้าเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของชุมชม สังคม และประเทศในอนาคตต่อไป เพราะมูลนิธิเอสซีจีเชื่อมั่นในคุณค่าของคน

มูลนิธิเอสซีจี เปิดตัวหนังสือภาพเล่มพิเศษ “บันดาลแรงใจ” เพื่อมอบให้แก่เด็กด้อยโอกาสทั่วประเทศ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

มูลนิธิเอสซีจี นำโดย ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจี (ลำดับที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วย สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี (ลำดับที่ 5 จากซ้าย) จัดงานเปิดตัวหนังสือภาพสำหรับเด็กใน “โครงการนำหนังสือดีสู่เด็กไทย ปีที่ 10” โดยปีนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง ที่มูลนิธิฯ ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตเชิญพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท และพระราชปรารภ คัดตัดตอนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จำนวน 10 องค์ มาปรากฏในหนังสือภาพเล่มนี้ พร้อมกับเชิญศิลปินและ นักวาดภาพสำหรับเด็กชั้นนำของเมืองไทย 12 ท่าน มาร่วมรังสรรค์ผลงานศิลปะ รวมเล่มเป็นหนังสือภาพเล่มพิเศษ ชื่อ “บันดาลแรงใจ” สำหรับหนังสือภาพเล่มนี้ มูลนิธิฯ ได้จัดพิมพ์ทั้งหมดจำนวน 7,000 เล่ม เพื่อมอบให้แก่เด็กด้อยโอกาสทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายการทำงานของมูลนิธิฯ อาทิ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ขาดแคลน เป็นต้น เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

ภายในงาน ตัวแทนศิลปินผู้วาดภาพในหนังสือภาพเล่มนี้ อาทิ รองศาสตราจารย์เกริก ยุ้นพันธ์ (ลำดับที่ 3 จากซ้าย) ครูชีวัน วิสาสะ (ลำดับที่ 6 จากซ้าย) คุณภัทรีดา ประสานทอง (ลำดับที่ 2 จากซ้าย) และคุณนันทวัน วาตะ (ลำดับที่ 1 จากซ้าย) ได้มาร่วมพุดคุยในหัวข้อ “แรงบันดาลใจ สู่ บันดาลแรงใจ” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานและส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยได้ยึดในองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นต้นแบบในการดำรงชีวิต

โครงการนำหนังสือดีสู่เด็กไทย โดยมูลนิธิเอสซีจี ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อรณรงค์ให้พ่อแม่ผู้ปกครองและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็กตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปี ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาเด็กในวัยนี้โดยใช้หนังสือภาพสำหรับเด็กเป็นเครื่องมือ ผ่านกระบวนการ ‘เล่านิทาน อ่านหนังสือ’ โดยมูลนิธิฯ ได้คัดสรรหนังสือภาพที่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการด้านการศึกษาและนักสร้างสรรค์หนังสือเด็กทั่วโลก ว่ามีความงดงามทั้งในเชิงสาระและศิลปะ มาแปลและจัดพิมพ์เป็นภาษาไทย เพื่อให้เด็กไทยได้มีโอกาสสัมผัสกับหนังสือภาพชั้นดีระดับโลก เพราะเชื่อว่าหนังสือภาพคือเครื่องมือหนึ่งที่จะเพิ่มพัฒนาการทางสมองและเติมเต็มความมั่นคงทางอารมณ์ให้แก่เด็กน้อยในช่วงวัยดังกล่าวได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาแล้ว ยังเป็นการเชื่อมสายใยความรัก ความผูกพัน ในครอบครัวให้อบอุ่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกด้วย

มูลนิธิเอสซีจีปรารถนาที่จะเพิ่มโอกาสแก่เด็กๆ ในการเข้าถึงหนังสืออย่างเท่าเทียม เพราะเราเชื่อว่าหนังสือดีๆ สักเล่มจะเป็นรากฐานอันดี สร้างเสริมจินตนาการและมีส่วนช่วยเติมเต็มวัยเยาว์ของพวกเขาให้เติบโตอย่างงดงาม

‘อนาคตอยู่ที่มือเรา’ มูลนิธิเอสซีจีเปิดตัวอาชีวะฝีมือชนคนเก่ง ตัวแทนประเทศไทยแข่งจัดดอกไม้บนเวทีโลก

มูลนิธิเอสซีจีจัดกิจกรรมเวิร์คช็อปจัดดอกไม้ภายใต้ชื่องาน “อนาคตอยู่ที่มือเรา…บนเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ของอาชีวะฝีมือชน” โชว์ศักยภาพนักเรียนอาชีวะฝีมือชน สาขาบริการ พร้อมเปิดตัวน้องป้อม ปราโมทย์ การัมย์ นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี ตัวแทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 44 หรือ WorldSkills Abu Dhabi 2017สาขาการจัดดอกไม้ ที่กำลังจะจัดขึ้น ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

กิจกรรมเวิร์คช็อปสาธิตการจัดดอกไม้ที่มูลนิธิเอสซีจีจัดขึ้นในครั้งนี้เพื่อสร้างการรับรู้ นำเสนอข้อดี และภาพลักษณ์ที่ดีของการเรียนอาชีวะสาขาบริการ ให้สื่อมวลชนและสังคมเห็นโอกาสของบุคคลที่เรียนในสายนี้ และเพื่อสร้างความภาคภูมิใจ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียนอาชีวะอีกด้วย ภายในงานมีแขกรับเชิญพิเศษหลายท่านมาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์การเรียนอาชีวะ การส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียน โอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงาน และเส้นทางอนาคตที่กำหนดเองได้ โดยผู้ร่วมเสวนาได้แก่คุณวรรณี โกมลกวิน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน คุณวสุมดี อิ่มแก้ว ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา คุณพิทักษ์ หังสาจะระ นักออกแบบและนักจัดดอกไม้ระดับประเทศ คุณชยพล สิงหลักษณ์เจ้าของรางวัลเหรียญเงิน สาขาการจัดดอกไม้ในการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 39 หรือ WorldSkills Shizuoka 2007 ณ จังหวัดชิซุโอะกะ ประเทศญี่ปุ่น และ น้องปราโมทย์ การัมย์ นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ ตัวแทนประเทศไทยที่จะไปแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 44 หรือ WorldSkills Abu Dhabi 2017 ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ยังได้เนรมิตพื้นที่จัดงานเป็นห้องเวิร์คช็อปจัดดอกไม้ให้น้องๆ อาชีวะฝีมือชนที่มาร่วมงานได้แสดงฝีมือการจัดดอกไม้ร่วมกับพี่ๆ สื่อมวลชนด้วย

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงน้องๆ อาชีวะฝีมือชนว่า “มูลนิธิเอสซีจีตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างบุคลากรในสายช่างอุตสาหกรรมและสายบริการตลอดมา โดยเล็งเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กอาชีวะ แต่พวกเขาคือฟันเฟืองที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จึงได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีความขยันหมั่นเพียร มีเกรดเฉลี่ยสะสม (GPA) ม.1 – ม.3 ไม่ต่ำกว่า 2.7 แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และสนใจศึกษาต่อด้านอาชีวะ ในสายช่างอุตสาหกรรมและสายบริการ ภายใต้โครงการ “อาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ” มาตั้งแต่ปี 2556 เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เรียนอาชีวะและเสริมสร้างทัศนคติอันดีของสังคมที่มีต่อผู้เรียนอาชีวะด้วย โดยทุนดังกล่าวเป็นทุนให้เปล่า ไม่มีภาระผูกพันต้องใช้คืน”

นอกจากนี้ สุวิมล ยังเสริมอีกว่า “จากการที่ได้สัมผัสน้องๆ นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ กว่า 1,500 คน อย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น พบว่าเด็กอาชีวะไม่ได้เรียนแต่ทฤษฎีอย่างเดียว แต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วย จึงทำให้น้องได้ฝึกฝนทักษะฝีมือจนชำนาญ และในระหว่างเรียนน้องก็สามารถหารายได้พิเศษจากทักษะฝีมือที่น้องมี ดูแลตัวเองได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ปัจจุบันตลาดแรงงานคุณภาพมีความต้องการบุคลากรในสายอาชีวะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังมีผู้ให้ความสนใจเรียนด้านนี้ไม่มากนัก มูลนิธิฯ จึงพยายามผลักดันให้น้องๆ ค้นหาเส้นทางที่ตัวเองชอบ แล้วตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเอง และอยากให้สังคมรับรู้ว่า “อาชีวะฝีมือชน” คือ ผู้ที่เป็นนักคิดและนักปฏิบัติที่เชี่ยวชาญในสายวิชาชีพ ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์หรือสถาบันอาชีวะ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติไทย ยกตัวอย่างเช่น หากน้องๆ เรียนในสายบริการ ก็จะได้เรียนเรื่องการทำอาหาร การจัดดอกไม้ งานแกะสลัก ฯลฯ จะเห็นว่างานเหล่านี้เป็นงานที่ต้องใช้สมองและสองมือในการสร้างสรรค์อย่างแท้จริง และยังต้องผสมผสานด้วยประสบการณ์ด้านศิลปะมาประยุกต์ใช้ด้วย งานเหล่านี้จึงไม่สามารถนำเทคโนโลยี หรือระบบอัตโนมัติใดๆ มาทดแทนบุคลากรได้ นับว่าเป็นสายอาชีพที่มีความสำคัญมากอีกสายหนึ่งเลยก็ว่าได้”

ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา มูลนิธิเอสซีจีมุ่งมั่นสื่อสารให้สังคมได้เห็นถึงฝีมือและทักษะความชำนาญของน้องๆ ที่กำลังศึกษาในสายอาชีวะอย่างต่อเนื่อง จากเว็บไซต์ JobThai.com เมื่อต้นปี 2560 ได้เผยข้อมูลว่าสาขาอาชีพเกี่ยวกับงานบริการมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องสูงถึง 17% ซึ่งภาคธุรกิจท่องเที่ยวมีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการขยายตัวดีตามไปด้วย

นอกจากการให้ทุนการศึกษาแล้ว มูลนิธิฯ ยังให้การสนับสนุนต่อยอดความสามารถของน้องนักเรียนทุนฯ ด้วย โดยในปี 2560 นี้ ได้สนับสนุนนักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ 2 คน ได้แก่ นายปราโมทย์ การัมย์ และ นายพงศกร พราหมเกษม เข้าร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 44 หรือ WorldSkills Abu Dhabi 2017 ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในสาขาการจัดดอกไม้และสาขาการก่ออิฐ ตามลำดับ โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นผู้คัดเลือกและดูแลน้องๆ ในระหว่างเก็บตัวเพื่อแข่งขัน ไม่ว่าน้องๆ จะได้รับรางวัลหรือไม่ มูลนิธิเอสซีจีเพียงมุ่งหวังว่าการแข่งขันในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสบการณ์และพัฒนาฝีมือของน้องๆ ให้มากยิ่งขึ้น และจะเป็นก้าวสำคัญของอาชีวะฝีมือชนคนไทยที่จะแสดงศักยภาพให้ชาวต่างชาติได้เห็นฝีมือ ความสามารถที่มีคุณภาพทัดเทียมชาติอื่นๆ

ด้าน วรรณี โกมลกวิน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติว่า “จุดประสงค์ของการเข้าร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ก็เพื่อแสดงความสามารถของฝีมือชนชาวไทยให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งเป็นการจูงใจให้เยาวชนเห็นความสำคัญของทักษะฝีมือที่สามารถยึดเป็นอาชีพได้ นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นช่างฝีมือที่มีอยู่ในประเทศให้ยกระดับพัฒนาฝีมือของตนเอง โดยเยาวชนไทยที่จะสามารถไปแข่งขันในเวทีระดับโลกนี้ได้นั้น ต้องผ่านการคัดเลือกทั้งระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ก่อนจะเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งขันในระดับอาเซียน เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติต่อไป ที่ผ่านมาตัวแทนประเทศไทยทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการย้ำคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นของอาชีวะฝีมือชนของไทยเป็นอย่างดี ทั้งนี้ในการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 44 หรือ WorldSkills Abu Dhabi 2017 นี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้นำเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 26 คน เข้าร่วมแข่งขันใน 24 สาขา ซึ่งมีสาขาบริการหลายสาขารวมอยู่ในจำนวนนี้ เช่น สาขาการจัดดอกไม้ สาขาเสริมความงาม สาขาประกอบอาหาร สาขาบริการอาหารและเครื่องดื่ม สาขาแต่งผม เป็นต้น จากการเก็บตัวฝึกซ้อมพัฒนาทักษะฝีมืออย่างเข้มข้น เชื่อว่าน้องๆ ที่ร่วมแข่งขันจะทำผลงานที่โดดเด่นคว้ารางวัลมาให้ประเทศไทยได้ภูมิใจอย่างแน่นอน”

ด้าน ปราโมทย์ การัมย์ หรือป้อม นักเรียนทุนอาชีวะฝีมือชน คนสร้างชาติ โดยมูลนิธิเอสซีจี ตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ สาขาการจัดดอกไม้ ได้กล่าวถึงความพร้อมในการแข่งขันครั้งนี้ว่า “ผมเก็บตัวฝึกซ้อมเป็นเวลา 6 เดือน ที่บ้านอาจารย์วีนัส วัฒนะพงษ์ จ.นครปฐม สลับกับ กรุงเทพฯ ในระหว่างนี้มีพี่ๆ จากมูลนิธิเอสซีจีได้แวะเวียนมาให้กำลังใจตลอดทำให้ผมมีกำลังใจมาก ในช่วงเก็บตัวผมต้องฝึกฝน ลงมือซ้อมอย่างเป็นระบบ มีตารางการซ้อมในแต่ละวันอย่างเคร่งครัด บางครั้งก็มีการทดสอบจัดช่อดอกไม้แบบจับเวลาด้วย เพื่อทำเวลาให้ดียิ่งขึ้นตามโจทย์ที่อาจารย์ให้ ต้องซ้อมประมาณ 9-10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการเก็บตัวครั้งนี้ได้ความรู้เยอะมาก ได้เรียนรู้เกี่ยวกับชนิดของดอกไม้ ศาสตร์ด้านอื่นที่จะต้องนำมาผสมผสานกัน เช่น การออกแบบ การวาง-จับคู่สี การจัดโครงสร้างฯ บวกกับประสบการณ์ในการทำงานจริงของผมอีกประมาณ 6 ปี ตอนนี้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นครับ และอยากจะขอให้ทุกคนช่วยส่งแรงใจเชียร์พวกเราอาชีวะฝีมือชนตัวแทนประเทศไทยทุกคนที่เข้าร่วมแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติในครั้งนี้ด้วยนะครับ พวกเราจะใช้หนึ่งสมองและสองมือนำทักษะฝีมือและประสบการณ์ที่ได้จากการเรียน การฝึกฝนไปใช้ในการแข่งขันครั้งนี้อย่างสุดความสามารถ อยากทำให้ประเทศไทยได้ภาคภูมิใจว่า ประเทศเรามีก็มีอาชีวะฝีมือชน ที่มีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ครับ”

นอกจากนี้ ป้อม-ปราโมทย์ ได้เล่าอีกว่าคุณครูหลายท่านที่มาฝึกสอนตนนั้นล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์มากและอยู่ในวงการนี้มานาน อาทิ ครูกอล์ฟ-พิทักษ์ หังสาจะระ นักออกแบบและนักจัดดอกไม้ระดับประเทศ ครูปอ-ชยพล สิงหลักษณ์ เจ้าของรางวัลเหรียญเงิน สาขาการจัดดอกไม้ ในการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ ครั้งที่ 39 หรือ WorldSkills Shizuoka 2007 อาจารย์จากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์ที่วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ฯลฯ

ในเส้นทางสายอาชีพที่น้องอาชีวะฝีมือชนทุกคนได้เลือกเดินมานั้น ไม่ว่าจะเป็นสายช่างอุตสาหกรรม หรือสายบริการ น้องๆ ล้วนได้ผ่านของจริงและประสบการณ์ตรงที่ได้ฝึกปฏิบัติมาตั้งแต่ห้องเรียน อันมีส่วนเติมเต็มความสามารถ ฝึกปรือทักษะฝีมือ และสิ่งเหล่านี้พร้อมจะเป็นพลังผลักดันให้ทุกๆ คนที่มีความสามารถได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดที่ตัวเองใฝ่ฝันได้ เพราะ ‘อนาคตอยู่ที่มือเรา’

ต้นกล้าชุมชน โดย มูลนิธิเอสซีจี มุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ หัวใจรักบ้านเกิด

เพราะไม่มีใครรู้จักชุมชน ได้ดีไปกว่าคนในชุมชนเอง มูลนิธิเอสซีจี จึงส่งเสริม คนรุ่นใหม่ให้กลับมา พัฒนาบ้านเกิด ภายใต้โครงการ ต้นกล้าชุมชน เพื่อมุ่งสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญในการ ดูแล และพัฒนาท้องถิ่นของตนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมูลนิธิเอสซีจี ได้ให้การสนับสนุน เบี้ยยังชีพ ค่าดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ ให้แก่ต้นกล้าเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีพี่เลี้ยงนักพัฒนารุ่นพี่ ผู้มากประสบการณ์ในพื้นที่เป็นผู้ชี้แนะแนวทางการทำงานชุมชนทั้งภาคสนามและภาคทฤษฎี

สุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี กล่าวถึงวัตถุประสงค์โครงการนี้ว่า “มูลนิธิเอสซีจีดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2549 ภายหลังจากที่ได้ทำงานกับ ผู้นำชุมชนมาระยะหนึ่ง พบว่าหลายชุมชนประสบปัญหาขาดคนมาสืบทอดงานชุมชน ทั้งในเรื่องของ องค์ความรู้ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต และวิถีชุมชน เนื่องจากเยาวชนส่วนใหญ่ได้ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปทำงาน ในเมือง มูลนิธิฯ จึงริเริ่มดำเนินโครงการ ‘ต้นกล้าชุมชน’ ในปี พ.ศ. 2557 โดยมุ่งหวังสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ นำคนหนุ่มสาวกลับคืนสู่ท้องถิ่น ซึ่งในปัจจุบันเรามีต้นกล้าชุมชนทั้งหมดจำนวน 3 รุ่น รวม 28 คน กระจายตัว อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ทำงานครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะวัฒนธรรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ สาธารณสุข ตลอดจนเกษตรกรรม อย่างไรก็ตามมูลนิธิฯ ขอขอบคุณเหล่าพี่เลี้ยงนักพัฒนาทุกท่านที่มาร่วมกันบ่มเพาะต้นกล้า ทั้งวิธีคิด วิธีการทำงาน ขณะเดียวกัน มูลนิธิฯ ยังได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพของต้นกล้าควบคู่กันไปด้วย เพื่อเสริมสร้างกระบวนการทำงานให้ ครอบคลุมหลายมิติ มากขึ้น”

ครั้งนี้ มูลนิธิฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพต้นกล้าชุมชน รุ่นที่ 1-3 และพี่เลี้ยงฯ รวม 39 คน ณ จังหวัดตรัง โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ประธานบริหาร บริษัท แบรนด์บีอิ้ง จำกัด บรรยายให้ความรู้เรื่อง ‘การสร้างแบรนด์อย่างพอเพียง’ เพื่อให้ต้นกล้าและพี่เลี้ยงฯ นำไปปรับใช้ และพัฒนา ผลิตภัณฑ์ชุมชนของตนให้แตกต่าง น่าสนใจ มีเรื่องราว มีจุดแข็ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังได้ศึกษาดูงานจากชุมชนที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ ชุมชนบ้านน้ำราบ อ.กันตัง จ.ตรัง และ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นสี อ.นาโยง จ.ตรัง รวมทั้ง มีกิจกรรมสัมพันธ์เพื่อสร้างบรรยากาศ และความรู้สึกการเป็น ‘ครอบครัวต้นกล้าชุมชน’ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน จนเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย การทำงานทางสังคมที่เข้มแข็งต่อไปในอนาคต

ต้นกล้าเก่ง โชคนิธิ คงชุ่ม เจ้าของโครงการพัฒนาเครือข่ายเยาวชนเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ จ.นครนายก เล่าถึงประสบการณ์การเป็นต้นกล้าชุมชนรุ่นที่ 2 ว่า “ที่ผมสนใจเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะรูปแบบ ที่ตอบโจทย์ชีวิต

คนทำงานเพื่อสังคม คือคนส่วนใหญ่ที่ทำงานเพื่อสังคมจะต้องวิ่งหางบฯ ต่างๆ เพื่อ ดำเนินโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีงบฯ ดูแลคนทำงาน แต่ในความเป็นจริง คนทำงานก็ต้องอยู่ได้ด้วย เพื่อที่จะได้ทำงาน อย่างเต็มที่ โชคดีที่มาเจอโครงการนี้ที่ให้ความสำคัญกับคน เห็นคุณค่าของคนทำงานภาคประชาสังคม สำหรับโครงการของผมเป็นงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างนักอนุรักษ์รุ่นเยาว์ เป็นเยาวชนในพื้นที่ โดยเน้นที่เด็ก ม.ปลายเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโต เราขับเคลื่อน บ่มเพาะให้เด็กๆ รัก ธรรมชาติและหวงแหนสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดค่ายเยาวชนให้ความรู้ เป็นห้องเรียนธรรมชาติสัญจร มีกิจกรรม ถ่ายภาพ การทำผ้ามัดย้อม การทำสมุดผ้า หรือการทำ Workshop คือ มันเป็นงานที่ทำให้เด็กมีความเป็น กลุ่มก้อน มีความต่อเนื่องในการทำงาน เกิดเป็นพลังเยาวชนในพื้นที่บ้านเกิด เวลาเรามีกิจกรรม พวกเขาก็ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนตลอดเวลา อย่างเช่นกิจกรรมปฏิบัติการ 4ม. ขอคืนพื้นที่เขาใหญ่ ไม่ทิ้งขยะ ไม่ให้อาหารสัตว์ ไม่ขับรถเร็ว ไม่ส่งเสียงดัง ในช่วงวันหยุดยาวที่คนนิยมขึ้นไปเที่ยวที่เขาใหญ่ เราก็ได้เห็น พลังเยาวชนที่เราสร้างขึ้นมานี้ ออกมาช่วยกันรณรงค์ถือป้ายประชาสัมพันธ์ในจุดต่างๆ ผมต้องขอขอบคุณ โครงการต้นกล้าชุมชน โดยมูลนิธิเอสซีจี นอกจากผมที่ขอบคุณแล้ว เพื่อนๆ พี่น้องสายคนทำงานเพื่อสังคม หลายๆ คนก็รู้สึกขอบคุณโครงการนี้เช่นกันที่ให้โอกาสคนทำงาน เพราะมันเป็นการสร้างโอกาสให้อีกหลาย ชีวิต และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับชุมชน สังคมอย่างยั่งยืน”

ด้านต้นกล้าหญิง พฤติพร จินา ต้นกล้าชุมชนรุ่นที่ 2 เจ้าของโครงการสืบสานพันธุกรรมท้องถิ่น เพื่อความมั่นคงทางอาหาร จ.ลำพูน กล่าวเสริมว่า “หญิงชอบโจทย์ของโครงการต้นกล้าชุมชน เราพบว่า ไม่มีโครงการไหนที่จะให้ความสำคัญกับการที่ให้คนรุ่นใหม่ได้กลับบ้าน กลับไปเติบโต กลับไปทำงานพัฒนา ในชุมชนของตัวเอง อันนี้เป็นโจทย์ที่ตรงกับใจ ตรงกับช่วงวัยที่เราอยากจะกลับไปอยู่บ้าน สำหรับโครงการ ของหญิงมีกลุ่มเป้าหมาย คือ “ครูภูมิปัญญา” คือกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเชี่ยวชาญในการทำอาหาร กลุ่มเด็กๆ ครอบคลุมพื้นที่ในโรงเรียน และกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยง พวกเด็กๆ แทบจะไม่รู้จักเมนูอาหาร พื้นบ้านเลย อาทิ แกงผักต่างๆ ในท้องถิ่น เมนูใส่น้ำปู เด็กๆ จะไม่กินเพราะมันดำ และมีรสชาติแปลกๆ แล้วหันไปนิยมกินไก่ทอด พิชซ่า ส่วนครูภูมิปัญญาก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะเข้าไปหาวัตถุดิบในป่า แต่เขายังมีแรง ที่จะปรุงและทำกินได้ หญิงจึงต้องทำหน้าที่เป็นคนกลางเชื่อมให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ ผลักดันเรื่อง การอนุรักษ์แหล่งอาหารปลอดภัยในชุมชน ให้คนในชุมชนได้เห็นว่าบ้านเราก็มีของดีจากป่า พวกเขา จะได้หาของดีจากป่าเป็น จะได้รู้ว่าอันไหนนำมาประกอบอาหารได้และมีประโยชน์ทางโภชนาการ ถ้าทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆ รู้จักและเห็นคุณค่าของอาหารเหล่านี้ ก็จะได้ช่วยกันอนุรักษ์ บ้านเราจะได้ มีอาหารตลอด ไม่ขาดแคลนวัตถุดิบชั้นยอด ต้องขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่ให้โอกาสหญิงได้กลับไปทำงานใน ชุมชน ขอบคุณที่เชื่อมั่นในคุณค่าของคน และยังมีกระบวนการที่ทำให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง และเคารพตัวเอง อีกด้วย”

ด้าน บุบผาทิพย์ แช่มนิล หญิงแกร่งผู้ก่อตั้งกลุ่มรักษ์เขาชะเมา กล่าวเสริมในฐานะพี่เลี้ยงต้นกล้าชุมชนว่า “ตลอดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต้นกล้าชุมชนในครั้งนี้ ได้เรียนรู้เรื่องแบรนด์ที่พี่หนุ่ย หรือ ดร.ศิริกุล มาสอน มีประโยชน์มากเพราะมันทำให้คนที่แม้จะเคยทำแบรนด์มาแล้ว ได้ทบทวนตัวเองว่า มันใช่หรือเปล่า แล้วทำให้คนที่ไม่เคยคิดจะสร้างแบรนด์ เห็นความสำคัญของการที่จะทำมันขึ้นมา โดย ต้องตกตะกอนความคิดก่อน ว่ามันสะท้อนถึงอัตลักษณ์ชุมชน และเข้าถึงรากเหง้าของตนเองยังไง สินค้าของเรา แตกอย่างจากคนอื่นยังไง ส่วนการดูงานที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นสีก็ดี ชุมชนบ้านน้ำราบก็ดี หัวใจของมันคือเรื่องกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเราใช้มันเป็นแค่พื้นที่ปฏิบัติการเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น ให้ต้นกล้า ได้กลับไปคิดและกำหนดทิศทางการพัฒนาชุมชนของตัวเองต่อไปในอนาคต โดยมีพวกเราพี่เลี้ยงคอยให้ คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด ตลอดเวลาที่ได้เป็นพี่เลี้ยงมา 3 ปี พี่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการเป็น พี่ครอบครัวต้นกล้าชุมชนอย่างแท้จริง ต้องขอขอบคุณความตั้งใจจริงของมูลนิธิเอสซีจีที่ริเริ่มโครงการนี้ และอยากให้องค์กรอื่นๆ นำไปเป็นต้นแบบในการให้ความสำคัญในการสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ต่อไป”

มูลนิธิเอสซีจีภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนักพัฒนารุ่นใหม่ เพราะไม่ใช่เพียงต้นกล้า เหล่านี้จะมีอาชีพเป็นของตัวเอง แต่ยังสามารถสร้างอาชีพ กระจายรายได้ให้คนอื่นในชุมชน ได้ทำงานใน บ้านเกิด เข้าถึงปัญหาและร่วมหัวจมท้ายกับคนในชุมชน ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ได้เรียนรู้ภูมิปัญญา ท้องถิ่น ตลอดจนสืบสานศิลปะวัฒนธรรรมให้คงอยู่ เราหวังว่าโครงการต้นกล้าชุมชนจะจุดประกายให้ เมล็ดพันธุ์นักพัฒนารุ่นใหม่ได้เติบโต หยั่งราก และตั้งมั่น ในการรับใช้บ้านเกิดของตนเองต่อไป

มูลนิธิเอสซีจี ส่งต่อความสุข มอบรอยยิ้ม ให้น้องๆ สถานสงเคราะห์เด็กฯ ย่านปากเกร็ด

มนุษย์ในสังคมย่อมมีความแตกต่างกันทางพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เช่นเดียวกับน้องๆ เด็กพิการในสถานสงเคราะห์ ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างและข้อจำกัดทางร่างกาย แต่เราทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม

มูลนิธิเอสซีจี องค์กรสาธารณกุศลที่มุ่งมั่นพัฒนาคนให้เป็นคนเก่งและดี จึงมอบเงินจำนวน 1,400,000 บาท เพื่อสนับสนุนเรื่องการอุปโภค บริโภค และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เด็กๆ และ เยาวชนจากสถานสงเคราะห์ฯ ย่านปากเกร็ดทั้ง 5 บ้าน ได้แก่ บ้านราชาวดีชาย-หญิง ซึ่งดูแลน้องๆ ผู้พิการทางสมองและปัญญาอายุ 7-18 ปี บ้านนนทภูมิดูแลเด็กพิการและทุพพลภาพ บ้านเฟื่องฟ้าสงคราะห์เด็กอ่อนพิการทางสมองและปัญญา และมูลนิธิสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท นอกจากนี้มูลนิธิ เอสซีจียังได้จัดกิจกรรมเติมรอยยิ้ม สร้างความสุขเด็กๆ อีกด้วย

ขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหารมูลนิธิเอสซีจีกล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมในวันนี้ว่า “มูลนิธิเอสซีจีได้บริจาคเงินสนับสนุนให้องค์กรสาธารณกุศลต่างๆ ที่ดูแลเด็กพิการย่านปากเกร็ดอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นการมอบขวัญและกำลังใจให้น้องๆ เยาวชนในสถานสงเคราะห์ฯ ด้วยมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเห็นเด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในวันหน้า ตลอดจนสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของชุมชม สังคม และประเทศในอนาคตต่อไป”

นอกจากจะมอบเงินสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแล้ว ในปีนี้มูลนิธิเอสซีจียังได้จัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อสร้างรอยยิ้ม ความสุข และเสียงหัวเราะให้กับน้องๆ เยาวชนในสถานสงคราะห์ฯ เป็นพิเศษ อาทิ การแสดงดนตรีที่มีท่วงทำนองสนุกสนานจนน้องๆ ปรบมือตาม และขยับตัว ขยับแข้งขา ลุกขึ้นมาเต้นหน้าเวที

รวมถึงร่วมเล่มเกมสนุกๆ อย่างการเขย่าลูกแซคเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก และที่พิเศษสุดคือการแสดงละครนิทานเรื่อง แพะสามตัว ที่ส่งเสริมจินตนาการให้น้องๆ ปิดท้ายด้วยการเลี้ยงอาหารกลางวันแสนอร่อยที่ยกมาเสริฟ์น้องๆ กันถึงโต๊ะ โดยมีพี่ๆนักเรียนทุนของมูลนิธิฯ และพี่ๆ สาวสวยจากเวทีการประกวด Miss International Thailand มาร่วมกิจกรรมสร้างสีสันและความสดชื่นให้กับน้องๆ อีกด้วย

วิมลพรรณ กุญแจทอง ผู้ปกครองสถานสงเคราะห์เด็ก บ้านราชาวดีหญิง เป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณว่า “วันนี้ต้องขอขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่มาจัดกิจกรรมดีๆ ให้เด็กๆ ทั้ง 5 บ้าน เด็กๆ และเจ้าหน้าที่ ทุกคนดีใจ สนุกสนาน อิ่มท้องและมีความสุขเป็นอย่างมาก” พร้อมทั้งให้ข้อมูลเสริมว่า “ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสถานสงเคราะห์ค่อนข้างสูง และมีเด็กๆ ที่สถานสงเคราะห์ย่านปากเกร็ด เฉพาะ 5 บ้านนี้ที่ต้องดูแลมีกว่า 2,500 คน ทั้งยังมีน้องๆ ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยอีก ที่ยังรอความเมตตาและการช่วยเหลือจากทุกคน ไม่จำเป็นต้องบริจาคเงินทอง แค่สละเวลามาเช็คตัว ป้อนข้าวผู้ป่วยติดเตียงก็สามารถทำได้”

ด้วยเชื่อมั่นในคุณค่าของคน มูลนิธิฯ หวังว่าน้องๆ จะได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วุฒิภาวะทางอารมณ์ สติปัญญา ทักษะด้านสังคม และทักษะการประกอบอาชีพ ตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรม เพื่อให้เด็กพิการเติบโตเป็นพลเมืองดีของสังคม และประเทศชาติต่อไป

ลับคมผู้กำกับเลือดใหม่ ในกิจกรรมวิจารณ์หนังสั้น ‘Young Thai Artist Award 2013’

ประกาศผลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ ‘รางวัลยุวศิลปินไทย 2556’ หรือ ‘Young Thai Artist Award 2013’ ซึ่งจัดเป็นครั้งที่ 9 โดยมูลนิธิเอสซีจี นับเป็นการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนไทยที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์งานศิลปะได้มีเวทีในการแสดงความสามารถออกสู่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง และไม่เพียงแต่ประกาศผลมอบรางวัลเพียงเท่านั้น มูลนิธิเอสซีจียังจัดกิจกรรมเพื่อต่อยอดความสามารถของน้องๆ ยุวศิลปิน โดยเริ่มต้นที่สาขาภาพยนตร์เป็นอันดับแรกกับกิจกรรม ‘วิจารณ์หนังสั้น’ กับ พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับชื่อดัง

มูลนิธิเอสซีจี เปิดวิกหนังสั้น ณ ห้องนิทรรศการ 5 พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ โดยเปิดโอกาสให้น้องๆ ผู้ได้รับรางวัลสาขาภาพยนตร์ทั้ง 6 คน ตลอดจนประชาชนผู้สนใจ เข้าชมและรับฟังคำวิจารณ์ รวมไปถึงกลเม็ดเคล็ดไม่ลับจากพี่อุ๋ย นนทรีย์ กรรมการตัดสินสาขาภาพยนตร์รางวัล Young Thai Artist Award อย่างใกล้ชิด เมื่อถึงเวลาฉาย หนังสั้นทั้ง 6 เรื่องก็นำพาผู้ชมเพลิดเพลินใจในโลกบนแผ่นฟิล์ม โดยพี่อุ๋ยทำหน้าที่วิจารณ์ผลงานของน้องๆ แต่ละคน แต่ละเรื่องอย่างละเอียด ทั้งกระบวนการความคิด การนำเสนอ การเลือกใช้กล้อง การทำโปรดักส์ชั่น ตลอดจนแนะนำถึงเวทีการประกวดหนังสั้นระดับโลกว่าเวทีไหนควรส่งหนังประเภทใดเข้าร่วมประกวดเพื่อฝึกฝนและหาประสบการณ์ บรรยากาศพูดคุยเป็นไปอย่างเป็นกันเอง เพื่อให้ทุกคนทราบว่าตัวเองมีตรงไหนควรพัฒนา ปรับแก้ และนำไปสู่การต่อยอดสู่เส้นทางคนทำหนังมืออาชีพ

“กิจกรรมวันนี้ เหมือนการมาเรียนหนังสือ การได้มาดูหนังของตัวเองและเพื่อนได้มาล้อมวงแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเราก็เปิดโอกาสให้น้องๆ ได้พูด มันสะท้อนถึงวิธีคิดของเขา เราไม่เพียงพูดคุยเรื่องจุดเด่นของหนังแต่เรายังคุยกันถึงจุดด้อยของงานด้วย เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์ น้องๆ ได้รับรู้ข้อดี ข้อเสียงานของตัวเองเพื่อจะได้นำไปปรับปรุงงานในอนาคตข้างหน้า ผมก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าตรงไหนมีความบกพร่องมีความผิดพลาดที่เขาอาจคิดไม่ถึง แล้วก็ให้คำแนะนำ ผมหวังว่าคำแนะนำจากรุ่นพี่จะช่วยให้วิธีการคิดของน้องเขาคมขึ้น ชัดเจนขึ้นในการทำงานหนังต่อไป” พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตรกล่าว

พี่นคร วีรประวัติ นายกสมาคมวิจารณ์บันเทิงแห่งประเทศไทยและกรรมการตัดสินสาขาภาพยนตร์รางวัล Young Thai Artist Award กล่าวเสริมว่า “นับเป็นโอกาสอันดีของน้องๆ ที่ผู้มีประสบการณ์อย่าง คุณอุ๋ย นนทรีย์ มาถ่ายทอดให้ความรู้ที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังจากมหาวิทยาลัย การได้ฟังจากผู้มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนเรา เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะตระหนัก และเอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้มาก เพราะทุกคนต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เทคโนโลยีและสิ่งใหม่ๆ จะเข้ามาในงานของเรา”

และสำหรับน้องๆที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการได้รับคำฟังคำวิจารณ์จากสุดยอดผู้กำกับแห่งวงการหนังไทยและนายกสมาคมวิจารณ์บันเทิง ตลอดจนการได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับกลุ่มคนทำหนังรุ่นใหม่ด้วยกัน ทำให้เรามีความคิด พลังแห่งการสร้างสรรค์ที่จะพัฒนาฝีมือและขับเคลื่อนวงการภาพยนตร์ไทยให้ดีและมีคุณภาพ

โดยน้องบอล นิทรรศ สินวัฒนกุล เจ้าของรางวัลยอดเยี่ยมสาขาภาพยนตร์จากเรื่อง ‘Deleted’ ได้บอกความรู้สึกจากการได้มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า “งานนี้มีประโยชน์มาก ทำให้เราเห็นมุมมองว่าแต่ละคนชอบหนังแบบไหน กระบวนการคิด การผลิตภาพยนตร์ทั้งจากพี่นคร พี่อุ๋ยและเพื่อนๆ ผมได้พบข้อดี ข้อเสียจากการแลกเปลี่ยนความเห็น การได้มาฟังคำวิจารณ์ทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้ผมจะได้รางวัลยอดเยี่ยมแต่ก็ยังมีข้อด้อย ไม่ได้ดีอย่างเดียว ทำให้เราไม่เหลิงเกินไปในความสำเร็จ แล้วเกิดเป็นความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลงานต่อไป”

สำหรับน้องวีรชิต ทองจิลา ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ‘หลงรักเลย’ ที่ได้รับรางวัลดีเด่น กล่าวเสริมว่า “ผมดีใจมากครับที่มีโอกาสมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ การได้ฟังคำวิจารณ์ในวันนี้ เป็นการเปิดโลกอีกโลกให้กับผม มันต่างจากการเรียนในมหาวิทยาลัย จนทำให้ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องต่อไปของผม หรืองานต่อไปของผมจะนำจุดที่ถูกวิจารณ์ทั้งหมดกลับไปพัฒนาใหม่ ขอบคุณมูลนิธิเอสซีจีที่ไม่เพียงจัดประกวด Young Thai Artist Award แต่ยังให้พวกเราได้เห็นตนเองเพื่อพัฒนาฝีมือครับ”

กิจกรรม ‘วิจารณ์หนังสั้น’ มูลนิธิเอสซีจีได้จัดต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดโครงการ Young Thai Artist Award ในการพัฒนาความสามารถ เพิ่มพูนศักยภาพให้แก่เยาวชน โดยเชื่อว่ากิจกรรมนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับคำวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดและจะช่วยจุดประกาย ต่อยอดความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานให้งอกงามเพื่อพัฒนาวงการภาพยนตร์และจรรโลงสังคมไทยต่อไป